ทองแถม นาถจำนง
เมื่อ ปี พ.ศ. 2515 เกิดมีพระที่คนเรียกกันว่า “หลวงพ่อเณร” ดังขึ้นมาหลายองค์ ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านเล่าพฤติกรรมของหลวงพ่อเณรไว้ 2 องค์ดังนี้
“ที่วัดหนึ่งในกรุงเทพ ปรากฏว่าหลวงพ่อเณรจะลงอาบน้ำมันเดือด ๆ ในกระทะ
ได้มีการตั้งกระทะสุมไฟเคี่ยวน้ำมันจนเดือดพล่าน
เอาไก่โยนลงไปในกระทะ ไก่ก็สุกจนเหลืองกรอบ
เอาปลาช่อนโยนลงไปในกระทะ ปลาช่อนก็สุกจนเหลืองกรอบเช่นเดียวกัน
นับว่าเป็นกรรมของไก่และปลาช่อน แต่ก็ช่างเถิด
ครั้นได้เวลาก็เอาเกลือและเครื่องสมุนไพรใส่ลงไปในกระทะมาก ๆ
เครื่องสมุนไพรที่ใส่ลงไปนั้นคงจะมากพอที่จะเอาไม้กระดานวางได้
แล้วก็เอาไม้กระดานวางลงไปบนสมุนไพรนั้น
หลวงพ่อเณรอีกองค์ซึ่งเป็นศิษย์ไม่ใช่อาจารย์ ก็ก้าวลงไปยืนบนกระดานนั้นครู่หนึ่ง
ผมเข้าใจเอาเองตามประสาคนไม่เชื่อเวทมนต์คาถาว่า เครื่องสมุนไพรและกระดานในกระทะนั้น รับน้ำหนักหลวงพ่อเณรเอาไว้ได้ ไม่ให้ต้องตกลงไปในน้ำมันเดือด
แต่น้ำมันเดือดก็คงจะกระเด็นถูกเท้าท่านบ้าง
หลวงพ่อเณรจึงรีบออกจากกระทะแล้วหายตัวไปเลย ไม่มีใครได้พบเห็นอีก
หายไปไหนหรือครับ ?
ก็หายไปรักษาแผลน้ำมันลวกที่เท้านั่นแหละ
อีกรายหนึ่งที่ฉะเชิงเทรา
มีการประกาศป่าวร้องให้ชาวบ้านมาดูหลวงพ่อเณรอีกองค์หนึ่งลงสรงน้ำในขวด
ผมได้ยินข่าวครั้งแรกก็ใจหาย นึกไปว่าวัดนั้นคงจะขาดถังน้ำหรือตุ่มน้ำสำหรับใส่น้ำไว้ให้พระเณรได้ใช้ จนถึงกับเณรต้องลงอาบน้ำในขวด
เกือบจะแล่นไปทำบุญเสียแล้วซี
แต่ก็เปล่าหรอกครับ การอาบน้ำในขวดนั้นเป็นการสำแดงอิทธิฤทธิ์ เก็บเงินชาวบ้านที่อยากดูคนละ 5 บาท
มีขวดแก้วใส่น้ำครึ่งขวดวางไว้กลางสานวัด ชาวบ้านก็ไปมุงดูอยู่
มีเสียงประกาศว่า หลวงพ่อเณรจะปรากฏกายขึ้นในขวด และสรงน้ำที่มีอยู่ครึ่งขวดในขวดนั้น
ชาวบ้านตากแดดก็รอดูอยู่ตั้งค่อนวัน ส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นอะไร แต่อีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนน้อยเพียงไม่กี่คน ตะโกนขึ้นว่าเห็นแล้วเห็นแล้ว
เป็นอันเสร็จพิธีเพียงแค่นั้น
เพราะมีคนร้องว่าเห็นแล้ว
เมื่อหนังสือพิมพ์ไปสัมภาษณ์ทีหลัง หลวงพ่อเณรก็บอกว่าการที่ท่านไปอยู่ในขวดนั้น มิได้ไปด้วยกาย แต่ส่งจิตไปอยู่ในขวด
การส่งจิตไปอยู่ที่ไหน ๆ นั้น พระนาคเสนเถระและพระเจ้ามิลินท์ก็ดูเหมือนจะตกลงกันแล้วว่า ใคร ๆ ก็ทำได้
ผมก็ทำได้
ยิ่งกว่าในขวด ผมก็ส่งจิตของผมเข้าไปได้
แต่เมื่อส่งเข้าไปแล้ว จะให้คนเห็นด้วยนั้น ออกจะลำบาก
แต่หลวงพ่อเณรที่ฉะเชิงเทราท่านก็แก้ว่า การกระทำของท่านนั้นมิใช่อิทธิฤทธิ์ แต่เป็นบุญฤทธิ์
คนมีบุญจึงจะเห็น
ก็เป็นอันแล้วกันไป
แต่คนที่ไปดูหลวงพ่อเณรลงขวดในวันนั้น ต้องเสียค่าดูคนละ 5 บาทรวด ไม่ว่าจะมีบุญหรือไม่ก็ตาม
คนที่ไม่มีบุญ มองไม่เห็นหลวงพ่อเณรในขวด ก็เรียกค่าดูคืนไม่ได้
ปรากฏตามข่าวหนังสือพิมพ์อีกเหมือนกันว่า วันนั้นเก็บเงินได้ทั้งหมด 8,000 บาท
หลวงพ่อเณรมอบให้วัด 4,000 บาท
ท่านบอกว่าหักต้นทุนค่าใช้จ่ายออกแล้ว 4,000 บาท
ผมก็เพิ่งทราบว่าการส่งจิตเข้าไปในขวด อันเป็นการกระทำง่าย ๆ ซึ่งแม้แต่ผมก็ทำได้นั้น มีต้นทุนค่าใช้จ่ายถึง 4,000 บาท แพงกว่าตั๋วเรือบินไปกลับฮ่องกงเสียอีก
ในที่นี้ผมก็ใคร่ขอกราบเรียนมายังพระเถรานุเถระ และท่านผู้มีหน้าที่ปกป้องพระศาสนาทั้งปวงให้ทราบว่า ถ้าหากท่านยังยอมปล่อยให้คนบางคนเอาพระศาสนามาทำให้เห็นเป็นเรื่องตลกอย่างนี้ต่อไปแล้ว ผมก็จะต้องเห็นว่าพระศาสนานั้นเป็นเรื่องตลกจริง ๆ
และยังมีเรื่องตลกจะเขียนอีกมาก”
( “สยามรัฐหน้าห้า” วันที่ 17 เมษายน 2515)
พฤติกรรมอย่างพระข้างต้น ตั้งแต่ที่อาจารย์หม่อมเล่าไว้เมื่อ พ.ศ. 2515 ก็เกิดขึ้นตลอดมาจนถึงทุกวันนี้แหละครับ
เกิดขึ้นทุกที่ทุกทางในเมืองไทย
และอาจจะเกิดขึ้นทุกวันด้วย
พระมหาเถรานุเถระท่านจะทำอะไรได้เล่าครับ เพราะมหาประชาชนไทยเขาพึงพอใจอย่างนี้
เป็นเรื่องฤทธานุภาพที่มหาประชาชนไทยเรียกร้องต้องการ
แม้บางคนจะพยายามต่อต้าน ก็ไม่สำเร็จ
เมื่อมนุษย์นั้นมีสี่เหล่า เหมือนบัวพ้นน้ำกับบัวในโคลน ภิกษุก็มีสี่เหล่าเช่นกัน
เมื่อก่อนเรื่องประหลาด ๆ ของภิกษุ อาจจะดูเป็นเรื่องตลกได้ เพราะเป็นการกระทำของปัจเจกชน แต่ปัจจุบันนี้เรื่องประหลาด ๆ ของภิกษุพัฒนาเป็นการกระทำขององค์กรที่ใหญ่โตมีการทำงานเป็นเครือข่าย และสังคมไทยก็เครียดมากขึ้น ผู้คนตลกไม่ออกกันแล้วครับ