หอการค้าไทยระบุ สงกรานต์เงินสะพัด 1.35 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.78% เน้นเที่ยวจังหวัดใกล้บ้าน เบื่ออากาศร้อนมาก-ค่าครองชีพพุ่ง แถมเจอฝุ่น PM2.5 เผยคนไทยอยากควง”บิ๊กตู่-ณเดชน์-ญาญ่า”เล่นน้ำ เน้นขอพรให้เศรษฐกิจก้าวหน้า เจริญรุ่งเรือง คนไทยรักสามัคคี ขอรัฐบาลชุดใหม่ลดความเหลื่อมล้ำ กระจายรายได้รากหญ้า นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2562 ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ทั่วประเทศเตรียมท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆมากขึ้น เพราะสงกรานต์ปีนี้มีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน ซึ่งมีกิจกรรมที่จะทำในช่วงเทศกาลสงกรานต์มากสุดคือ ซื้อของ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ และเยี่ยมญาติ สังสรรค์ จัดเลี้ยง เล่นน้ำสงกรานต์ ทำอาหารทานที่บ้าน มีแผนการใช้จ่ายทั้งบริโภคและท่องเที่ยว ทำบุญเป็นส่วนมาก โดยสงกรานต์ปีนี้แม้จะเน้นท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ แต่เสียงส่วนมากยังอยากจะอยู่บ้านเพราะช่วงนี้อากาศร้อนมาก และหากจะไปท่องเที่ยวก็กลัวปัญหาการจราจร จึงจะเน้นท่องเที่ยวใกล้บ้านเป็นหลัก และมองว่าจากปัญหาค่าครองชีพแพงจึงไม่ค่อยกล้าจับจ่ายใช้สอยมากนักส่งผลให้เงินสะพัดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ 135,837.56 ล้านบาท เติบโตเพียงร้อยละ 2.76 เมื่อเทียบกับช่วงสงกรานต์ปี 2561 ที่มีอัตราเติบโตถึงร้อยละ 3.50 หรือมีเม็ดเงิน 132,126.87 ล้านบาท ทั้งนี้ในช่วงสงกรานต์ปีนี้คนยังไม่มั่นใจเกิดจากปัญหาความไม่แน่นอนการเมืองว่าจะมีรัฐบาลใหม่เกิดขึ้นและชัดเจนเมื่อไหร่ อีกทั้งจากปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในบางพื้นที่เป็นตัวกระตุ้นที่ไม่อยากไปท่องเที่ยวในจังหวัดที่มีปัญหาอยู่ ส่งผลให้ประชาชนไม่กล้าจะจับจ่ายใช้สอยมากนัก โดยเป็นการใช้แบบระมัดระวัง นอกจากนี้บุคคลสำคัญ นักการเมืองที่อยากรดน้ำดำหัว อันดับ 1 คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองลงมานายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายทักษิณ ชินวัตร ส่วนดาราชายได้แก่ นายณเดชน์ คูกิมิยะ นายมาริโอ้ เมาเร่อ และบอย ปกรณ์ ดาราหญิง ญาญ่า อุรัสยา เบลล่า ราณี แคมเบล และอั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ โดยพรที่ต้องการ คือ ขอให้เศรษฐกิจก้าวหน้า เจริญรุ่งเรืองมากขึ้น คนไทยรักและสามัคคีกันและความหวังต่อรัฐบาลชุดใหม่คือ ลดความเหลื่อมล้ำ กระจายรายได้ ปัญหาค่าครองชีพ ดูแลสินค้าราคาแพงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทั้งนี้ทางศูนย์ยังคิดว่าแม้รัฐบาลใหม่เพื่อรวมคะแนนเสียงออกมาจะเกินครึ่ง ไม่มีเหตุการณ์ประท้วงตามมาโดยปล่อยให้รัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหาวางแนวทางของประเทศและมีความสงบ รวมทั้งสงครามการค้าสหรัฐฯและจีนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือเหตุการณ์ทางยุโรปไม่รุนแรง เชื่อว่าน่าจะส่งผลให้อัตราการเติบโตเศรษฐกิจไทยอยู่ที่ร้อยละ 3.5-4