ชีวิตในครอบครัวมีความผาสุก สามัคคีกัน ทำงานดูแลเอาใจใส่กัน บ้านใดเป็นอย่างนี้บ้านนั้นมีความสุข แต่การมีความสุขอยู่ในบ้านเดียว ยังไม่พอ อย่างน้อยหลาย ๆ บ้านที่อยู่ใกล้ชิดกัน ก็ควรรู้จักกัน เอื้ออาทรต่อกัน มีความเป็นชุมชนที่ยึดโยงพึ่งพากันได้ ดั่งชุมชนหมู่บ้านในสมัยก่อน จากชุมชนขยายใหญ่ขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งถ้ายังคงสร้างความยึดโยงให้มีความรู้สึกทุกข์ร้อนร่วมกันได้แล้ว ความทุกข์ร้อนก็จะน้อยลงได้ เพราะทุกบ้านทุกชุมชนก็ย่อมไม่อยากประสบกับความทุกข์ร้อน และร่วมมือกันป้องกันทุกข์ร้อนนั้น ๆ ปัญหาของชุมชนเมืองในปัจจุบันก็คือ การที่ต่างคนต่างอยู่ ไม่สนใจทุกข์สุขของคนอื่น ไมสนใจต่อสังคมที่ตัวอยู่ ขาดความรู้สึกร่วมกัน ไม่มีความรู้สึกร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน เมืองใดชุมชนใดที่ขาดความรู้สึกเช่นนี้ เมืองนั้นหรือชุมชนนั้นจะมีความทุกข์ร้อนมาก ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านเรียกเมืองอย่างนั้นว่า “เมืองที่ขาดวิญญาณ” “เมืองใดหรือชุมชนใดที่ขาดความรู้สึกเช่นนี้ เมืองหรือชุมชนนั้นก็ขาดวิญญาณ หาทางเจริญก้าวหน้าได้ยาก และใครอยู่ในเมืองนั้นหรือในชุมชนเช่นนั้นก็จะขาดความสุขขาดความอุ่นใจ ถึงจะแวดล้อมไปด้วยเพื่อนบ้านจำนวนมาก แต่ก็ยังจะรู้สึกว่าเหว่ขาดความปลอดภัย มีทุกข์ก็เป็นทุกข์ของตนเอง ไม่มีใครร่วมด้วย มีสุขก็เป็นสุขส่วนตัว ไม่มีใครร่วมด้วย ต้องฝากชีวิตไว้กับตนเอง ต้องรักษาความปลอดภัยให้แก่ตนเอง สภาพเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็เพราะแต่ละคนไม่สนใจในชุมชนที่ตนอาศัยอยู่ มุ่งแต่ประโยชน์ตนเป็นสำคัญ เช่น ทำถนนคอนกรีตอย่างดีจากประตูหน้าบ้านตนมาถึงเรือน เพื่อให้รถของตนแล่นเข้าบ้านได้เรียบร้อยในระยะทางไม่เกิน 50 เมตร ส่วนถนนหน้าบ้านทั้งสายขรุขระ เป็นหลุมบ่อมีกองขยะโสโครกเพียงใด ไม่เคยสนใจ ไม่เคยคิดจะแก้ไข นึกเสียว่าบ้านเมืองไม่ใช่ของเราคนเดียว หรือบ้านเมืองไม่ใช่ของเราเลยทีเดียว หากคนส่วนใหญ่มีความรู้สุกเช่นนี้แล้ว ชุมชนที่มีทุกข์และสุขร่วมกัน มีประโยชน์ร่วมกันอย่างที่ฝรั่งเรียกว่า Community นั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้ คนที่ไม่ได้อยู่ในชุมชนเช่นนั้นจะขาดความสุขความอุ่นใจและขาดเหตุผลในชีวิต และคนที่ต้องทำงานให้ชุมชนเช่นนั้น ก็จะมีแต่ความท้อถอย ไม่เห็นประโยชน์แห่งการทำงาน ไม่รู้สึกว่าเป็นเกียรติที่ได้ทำงาน ชีวิตของคนแต่ละคนจะว่างเปล่าอยู่มาก” รากฐานสำคัญที่สุดของสังคมไทยอยู่ที่ชุมชน มาช่วยกันสร้างวิญญาณร่วมในชุมชนกันเถิด !