ดร.สุทิน ลี้ปิยะชาติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จพระราชดำเนินโดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปทรงเยี่ยมเยียนราษฎรทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ในถิ่นทุรกันดาร เป็นเวลายาวนานต่อเนื่องกันมา ทรงพบเห็นสภาพความเป็นอยู่อันยากจน ความอดอยาก เจ็บไข้ ขาดแคลนและต้องเผชิญปัญหานานัปการของราษฎร โดยเฉพาะที่อยู่ในชนบทห่างไกล ทั้งสองพระองค์จึงทรงมุ่งมั่นประกอบพระราชกรณียกิจทางด้านการพัฒนาประเทศในทุกวิถีทาง เพื่อให้พสกนิกรของพระองค์มีระดับรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ในวันนี้ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น กระผมขอนำเรียนท่านผู้อ่านที่เคารพทุกท่านเกี่ยวกับแนวพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจ โดยได้รับความสนับสนุนด้านข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเน้นการช่วยเหลือราษฎรให้สามารถประกอบอาชีพหลักอย่างมีคุณภาพ เช่น การเกษตร น้ำและการพัฒนาชนบท และทรงมอบหมายให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถปฏิบัติพระราชภารกิจในการดูแลทุกข์สุขและสุขภาพอนามัยของราษฎร ดังพระราชดำรัสพระราชทานเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๓๔ ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ความตอนหนึ่งว่า “...การปฏิบัติงานของข้าพเจ้า ไม่ว่าจะเป็นงานด้านสุขภาพอนามัย งานด้านศิลปาชีพ และโครงการป่ารักน้ำ ล้วนเกิดจากการที่ข้าพเจ้าได้โดยเสด็จพระราชดำเนินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปทรงเยี่ยมราษฎร การทรงเยี่ยมราษฎรนี้ คือ พระราชภารกิจหลักของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในอันจะออกไปรับทราบปัญหาของชาวบ้าน และหาวิธีแก้ไข ซึ่งเป็นทางหนึ่งที่จะทรงช่วยชาติบ้านเมืองและรัฐบาลของพระองค์ท่านได้...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงมอบหมายให้ข้าพเจ้าดูแลทุกข์สุข รวมทั้งสุขภาพอนามัยของครอบครัวชาวนาชาวไร่ เพราะหากเขาเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ ครอบครัวก็จะประสบความทุกข์ยาก ชาวนาชาวไร่ที่ยากจนอยู่แล้วก็จะยิ่งจนลงไปอีก บางรายถึงกับต้องสูญเสียที่ดินไปก็มี... ระหว่างที่พระองค์ท่านทรงพระราชดำเนินไปตามไร่นานั้น ข้าพเจ้าก็จะอยู่กับราษฎรที่มารับเสด็จฯ ได้มีโอกาสพูดคุยซักถามเรื่องสุขภาพอนามัยและความเป็นอยู่ต่างๆ ของราษฎร...” พระราชดำรัสในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถพระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯถวายพระพรชัยมงคล ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๒๒ ความตอนหนึ่งว่า “...วินาทีแรกที่ข้าพเจ้าได้พบการต้อนรับของประชาชนตอนที่แต่งงานใหม่ๆ ได้เห็นเขากอดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว... ข้าพเจ้ารู้สึกว่าบรรพบุรุษของเราได้กระทำสร้างบุญบารมีในฐานะที่ว่า คงจะเป็นที่คนที่ปกป้องให้ความสุข ให้ความยุติธรรมแก่ประชาชนเป็นแน่... ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและข้าพเจ้ารู้สึกว่า ทำงานเท่าไหร่ก็ยังไม่คุ้ม ยังไม่สมกับที่บรรพบุรุษของเผ่าไทยทั้งหลายผู้มีพระคุณ ผู้ที่ได้ปกป้องยึดแผ่นดินนี้ได้มาตลอด...” พระราชดำรัสในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคลในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๓๑ ความตอนหนึ่งว่า “...ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปพบราษฎรมาทั่วประเทศ เพราะได้มีโอกาสตามเสด็จพระราชดำเนินทุกหนแห่ง จึงได้พบความจริงที่ว่า คนไทยเรานั้นแม้อยู่ห่างไกลความเจริญของเมืองหลวง ก็มีความสามารถทางด้านศิลปเป็นอย่างสูง เช่นผ้าไหมไทย ผ้าไทยต่างๆ ที่เห็นมีสีและลวดลายที่สวยงามนั้น เกิดมาจากความสามารถของชาวบ้านเองแท้ๆ ไม่ต้องให้ใครไปออกแบบลวดลายและสีสันให้ คนไทยเหล่านี้เองที่ข้าพเจ้าขอยกย่องว่า เป็นผู้สืบทอดศิลปะให้แก่ชาติบ้านเมืองของเขาจริง...” สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้พระราชทานแนวพระราชดำริ เพื่อสนับสนุนและเป็นแนวทางในการดำเนินการของโครงการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการที่มุ่งไปสู่ความอยู่ดีมีสุขของพสกนิกร ให้สามารถประกอบอาชีพและพึ่งพาตนเองได้ เกิดจิตสำนึกในการหวงแหนถิ่นฐานบ้านเกิด และร่วมกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติให้คงความอุดมสมบูรณ์ เพื่อให้ราษฎรสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ จนอาจกล่าวได้ว่า การพัฒนาตามแนวพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง จนถึงปัจจุบันได้พระราชทานโครงการพัฒนาในหลากหลายด้านเป็นจำนวนมากเกือบ ๙๐๐ โครงการ ที่ได้ช่วยขจัดปัดเป่าปัญหาและบรรเทาความทุกข์ร้อนของราษฎรให้เบาบางลงและหมดสิ้นไป ดังเช่นที่คนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ท่านหนึ่งที่ได้รับอุบัติเหตุเพราะช่วยเหลือผู้อื่นได้กล่าวไว้ว่า หากไม่ทรงรับเป็นคนไข้ เขาคงไม่มีชีวิตอยู่ถึงวันนี้ พระองค์ทรงเปรียบเสมือน “นางฟ้า” ของครอบครัวเขา ทรงเป็นเสมือน “อากาศ” ที่หล่อเลี้ยงชีวิต หากจะนับพระมหากรุณาธิคุณเหมือนดาวบนฟ้าก็คงนับไม่ถ้วน และคุณแม่ของคนไข้อีกท่านหนึ่งบอกว่า พระองค์ทรงเป็น “แสงสว่างจากสวรรค์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์และพลังอันยิ่งใหญ่” ให้เธอสามารถผ่านพ้นเหตุการณ์อันเลวร้ายมาได้ ส่วนแพทย์อาสาท่านหนึ่งกล่าวว่า การได้มีโอกาสถวายงานใกล้ชิดทำให้ได้เห็นถึงพระเมตตาที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ วุฒิอาสาธนาคารสมองท่านหนึ่งเล่าว่า การได้เป็นผู้ช่วยเหลือสังคมหลังเกษียณอายุแล้วนั้น ช่วยให้เกิดพลังในการดำรงชีวิต อีกทั้งได้นำความรู้ ความสามารถไปช่วยเหลือชุมชนของตนเอง และผู้รับความช่วยเหลือจากวุฒิอาสารายหนึ่ง กล่าวว่า วุฒิอาสาได้สร้างประโยชน์ให้แก่หน่วยงานมากมายเหลือเกิน ด้วยภูมิปัญญาและประสบการณ์นั้นต้องสะสมจากการทำงาน จึงนับเป็นพระอัจฉริยภาพที่พระราชทานเรื่องธนาคารสมอง ท่านผู้อ่านที่เคารพ กระผมขอเชิญชวนทุกท่านเรียนรู้พระราชดำริ พระราชดำรัส พระบรมราโชวาท เป็นแนวทางปฏิบัติในการตอบแทนคุณของแผ่นดิน เพื่อความมั่นคงของแผ่นดินไทย และเพื่อความผาสุก ของราษฎรไทยต่อไป ดังพระราชดำรัสพระราชทานในโอกาสเสด็จฯไปทรงเปิดงานชุมนุมแม่บ้าน ครั้งที่ ๑๐ ณ วิทยาลัยครูสวนดุสิต เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๑๐ ความตอนหนึ่งว่า “...ความมุ่งหวังในการพัฒนาประเทศไม่ควรจะมุ่งแต่เพียงการกินดีอยู่ดี เฉพาะแต่ในพระนครเท่านั้น ชาติบ้านเมืองเราจะเจริญก้าวหน้าได้ ก็ต่อเมื่อทุกครอบครัวในประเทศมีความกินดีอยู่ดีขึ้นเป็นลำดับ...”