เอ่ยถึงประเทศที่สร้างความสะพรึง เขย่าขวัญสะท้านโลก ตลอดช่วงรอบปีที่กำลังจะหมดไปอยู่รอมร่อกันแล้วหล่ะก็ “เกาหลีเหนือ” เจ้าของฉายา “โสมแดง” ภายใต้การนำของผู้นำสูงสุดคนปัจจุบันอย่าง “นายคิม จอง-อึน” ต้องถือเป็น “หนึ่ง” ไม่มีใครเกิน เพราะทั้งทดลองระเบิดนิวเคลียร์ลูกแล้วลูกเล่า จนพสุธาคาบสมุทรเกาหลีต้องสะเทือนเลื่อนลั่น พร้อมขวัญของผู้คนชาวโลกก็เตลิดหนีดีฝ่อ เท่านั้นยังไม่พอ ทางการเปียงยาง รัฐบาลกลางของเกาหลีเหนืองของนายคิม จอง-อึน ก็ยังทดสอบประสิทธิภาพ “ขีปนาวุธ” สารพัดเวอร์ชัน หลากพิสัยรัศมีทำการทั้งใกล้ทั้งไกล โดยพิสัยไกลนั้น ขีปนาวุธลูกล่าสุด ที่เพิ่งยิงไปเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ตามการประกาศเชิงคุยโวลั่นของรัฐบาลเปียงยาง ก็ระบุว่า เป็นพัฒนาการครั้งหมาดๆ ภายใต้ชื่อรุ่น “ฮวาซ็อง-15” ซึ่งเป็นขีปนาวุธแบบพิสัยทำการระยะไกลยิงข้ามทวีป ทรงประสิทธิภาพยิ่งกว่าขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีป หรือไอซีบีเอ็ม รุ่นก่อน อย่าง “ฮวาซ็อง-14” เป็นต้น จากการที่มิใช่เพียงพิสัยไกลข้ามทวีปธรรมดาๆ แต่ยังทำการได้ไกล แบบยิงได้ทุกเมืองของสหรัฐอเมริกากันเลยทีเดียวก็ว่าได้ ใช่แต่เท่านั้น มันยังสามารถบรรจุหัวรบนิวเคลียร์ขนาดที่ใหญ่กว่าเดิม เพื่อเสริมความน่าสะพรึงให้แก่ขีปนาวุธรุ่นนี้ในฐานะอาวุธมหาประลัยทรงประสิทธิภาพด้านการทำลายล้างสูง ไม่นับประสิทธิภาพด้านการทะยานบิน ที่สามารถความสูงจากพื้นดินได้ถึง 4,475 กิโลเมตร ซึ่งความสูงขนาดนั้น ก็จะทำให้ยากต่อการป้องกันแก่เหล่าบรรดา “ระบบโล่ขีปนาวุธ” ทั้งหลายประดามี ด้วยประการฉะนี้ จึงสร้างความหวาดผวาให้แก่นานาประเทศเป็นยิ่งนัก โดยเฉพาะเหล่าชาติอีกขั้วข้างอย่างสหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งประเทศในทวีปยุโรป อย่าง “สหราชอาณาจักร” เป็นอาทิ โดยเล็งแลหามาตรการสารพัดเพื่อมารับมือ ซึ่งหนึ่งในนั้น ก็คือ การเพิ่มงบประมาณกลาโหมขึ้นกันอย่างถ้วนหน้า หรือไม่ก็เสริมสร้างความร่วมมือทางการทหาร อย่างการซ้อมรบร่วมกัน เป็นอาทิ ที่นับว่าชาติสำคัญๆ ระดับตัวกลั่นทางปรปักษ์กับเกาหลีเหนือ ได้แก่ “สหรัฐอเมริกา” ล่าสุด “สภาคองเกรส” หรือ “รัฐสภา” อันกอปรด้วย “สภาผู้แทนราษฎร” หรือ “สภาล่าง” และ “วุฒิสภา” หรือ “สภาซีเนต” ก็ล้วนต่างไฟเขียว มีมติผ่านฉลุย อนุมัติ “ร่างกฎหมายงบประมาณระยะสั้น” เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ก่อน ด้วยคะแนนเสียงที่ต้องบอกว่า “ท่วมท้น” กันพอสมควร คือ สภาผู้แทนราษฎร 231 ต่อ 188 เสียง และสภาซีเนต 66 ต่อ 32 เสียง ทั้งนี้ แม้ว่า “ร่างกฎหมายงบประมาณระยะสั้น” ข้างต้น มีวัตถุประสงค์เพื่อมิให้หน่วยงานของทางการสหรัฐฯ ต้องประสบภาวะ “ชัตดาวน์” คือ “ปิดทำการ” เหมือนสมัยอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา โดยยังสามารถดำเนินการต่อไปได้อีก 4 สัปดาห์ข้างหน้า คือ วันที่ 19 มกราคม ปีหน้า อันจะทำให้เวลาเพียงพอต่อการทำความตกลงระหว่างในทางการเมืองเพื่อให้ผ่านงบประมาณประจำปี 2018 (พ.ศ.2561) ที่จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 กันยายนปีหน้า แต่เนื้อหาภายในของร่างกฎหมายฯ ดังกล่าว ก็บ่งชี้ถึงการแจกจ่ายงบฯ ไปแต่ละแหล่งแห่งที่แตกต่างกันไป ซึ่งปรากฏว่า ด้านกลาโหม ได้รับจัดสรรรไปมากสุดหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากจำนวนทั้งสิ้น 8.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มากกว่างบประมาณด้านสาธารณสุข อันเกี่ยวข้องกับการป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บของประชาชนโดยตรงเสียอีก ในจำนวนงบประมาณกลาโหมระบุไปนั้น ก็มีงบฯ ซ่อมเรือรบที่ถูกชนจนได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นข่าวโด่งดังกันก่อนหน้า และสำหรับใช้ในโครงการขีปนาวุธอีกโดยเฉพาะจำนวนถึง 4.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ โครงการขีปนาวุธข้างต้น ก็เพื่อเป็นเขี้ยวเล็งสำหรับรับมือกับภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ เป็นหลักใหญ่นั่นเอง เช่นเดียวกับ “เกาหลีใต้” เจ้าของฉายา “โสมขาว” พันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ บนคาบสมุทรเกาหลี ภายใต้การนำของประธานาธิบดีมุน แจ-อิน ก็ได้จัดสรรงบประมาณด้านกลาโหมประจำปื 2018 (พ.ศ.2561) ที่จะถึงนี้ ที่ 43.1 ล้านล้านวอน หรือกว่า 3.84 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึงร้อยละ 6.9 ด้วยกัน ขณะที่ “ญี่ปุ่น” เจ้าของฉายา “ซามูไร” พันมิตรสำคัญของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก ก็ยังคงระดมงบประมาณด้านกลาโหมอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน แต่ในปี 2018 (พ.ศ.2561) ซึ่งจะมีผลเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนปีหน้านี้ ทางรัฐบาลโตเกียวของนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ได้ทุ่มงบฯ กลาโหมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ด้วยจำนวนตัวเลขถึง 5.2 ล้านล้านเยน หรือกว่า 4.61 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 1.3 ทั้งนี้ ในงบฯ ดังกล่าว ทางการญี่ปุ่น จะแบ่งจัดสรรเป็นจำนวน 1.37 แสนล้านเยน เพื่อนำไปใช้ด้านการพัฒนาโครงการขีปนาวุธเพื่อการป้องกันการโจมตีจากเกาหลีเหนือเป็นประการสำคัญ รวมทั้งมีแผนซื้อขีปนาวุธพิสัยไกลจากสหรัฐฯ อีกจำนวนหนึ่งด้วย โดยในส่วนของญี่ปุ่นนั้น ก็จะมีการเสริมสร้างความร่วมมือทางการทหารกับ “อังกฤษ” กันอีกต่างหากด้วย เพื่อการรับมือกับภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือเป็นประการสำคัญอันดับแรก นอกเหนือจากภัยความมั่นคงอื่นๆ ซึ่งความตกลงดังกล่าว มีขึ้นในระหว่างที่นายทาโร โคโน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น เดินทางไปพบปะกับนายบอริส จอห์นสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษ ที่กรุงลอนดอน เมืองหลวงของอังกฤษ เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อกระชับความสัมพันธ์ด้านต่างๆ ระหว่างกัน รวมถึงด้านการทหารนี้ด้วย โดยทั้งสองฝ่ายได้หยิบยกเรื่องประเด็นปัญหาของเกาหลีเหนือขึ้นมาหารือ รายละเอียดของความร่วมมือข้างต้น ทางการอังกฤษ ก็จะส่งเรือรบชั้น “ดุ๊ค คลาส” อย่าง “เอชเอ็มเอส อาร์กิลล์” และ “เอชเอ็มเอส ซูเธอร์แลนด์” มาตระเวนน่านน้ำย่านเอเชีย – แปซิฟิก ในปี 2561 นี้ด้วย แถมจะมี “ฝูงบินขับไล่ไทฟูน หรือไต้ฝุ่น” ของกองทัพอากาศอังกฤษ มาร่วมแจมทั้งในด้านการฝึกซ้อมเพิ่มทักษะ และเพื่อร่วมไม้ร่วมมือปฏิบัติการโจมตีทางอากาศกับทางฝูงบินรบของญี่ปุ่นไปพร้อมๆ กัน กล่าวถึงเรื่องเกาหลีเหนือ หรือโสมแดง นี้ ถูกยกให้เป็นอีกหนึ่งปัญหาด้านความมั่นคงของอังกฤษด้วยเช่นกัน หลังการทดลองขีปนาวุธและระเบิดนิวเคลียร์ในช่วงที่ผ่านมา เพราะถึงขนาดที่กระทรวงกลาโหมของอังกฤษ เล็งของบประมาณเพิ่มจากรัฐบาลนายกรัฐมนตรีหญิง “เทเรซา เมย์” เพื่อเตรียมการรับมือกับภัยคุกคามการโจมตีจากเกาหลีเหนือ ซึ่งมีผู้นำ ที่ต้องบอกว่า มีความระห่ำ ที่อะไรๆ ก็อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อด้วยเช่นกัน