คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ /ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
ขณะนี้ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน”กำลังเผชิญกับมรสุมการเมืองลูกใหญ่ สืบเนื่องมาจากความผิดพลาดอย่างมหันต์ในการโต้วาทีปะทะฝีปากดิเบตกับ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”
และเพื่อต้องการที่จะแก้ไขความผิดพลาดของตนเอง ทั้งตัวเขาและบรรดาเหล่านักการเมืองผู้ใกล้ชิดต่างก็พากันเคลื่อนไหววิ่งรอกออกโรงมาแก้ต่างทั้งปกทั้งป้องกันอย่างอลหม่านวุ่นวาย!!!
โดยอันดับแรกประธานาธิบดีโจ ไบเดน ออกมาป่าวประกาศว่า หลังจากที่พูดคุยปรึกษากับสมาชิกในครอบครัวแล้วปรากฏว่า ทุกๆคนมีมติลงความเห็นอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า เขาสมควรที่จะเดินหน้าไปต่อ
อันดับต่อไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม 2024 ที่เพิ่งผ่านมานี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้เชิญบรรดาผู้ว่าการจากรัฐต่างๆที่สังกัดอยู่ในค่ายพรรคเดโมแครตกว่า 20 คน เข้าไปยังทำเนียบขาว เพื่อระบายความในใจถึงความล้มเหลวในการดีเบตครั้งนี้ โดยเขาได้เอ่ยปากให้คำสัญญาว่า “จะไม่ยอมถอดใจ และจะสู้ไม่ถอย” ซึ่งได้สร้างความมั่นใจจนผู้ว่าฯทั้งหมดเอ่ยปากสัญญาว่าจะให้การสนับสนุนต่อไป
อย่างไรก็ตาม “ส.ส.เจมส์ คลินเบิร์น” นักการเมืองวัยเก๋ารุ่นเก่าลายครามที่คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงการเมืองอเมริกันมาอย่างยาวนานและที่ผ่านมาเขาผู้นี้ยังเป็นนักการเมืองคนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังผลักดันให้โจ ไบเดน ก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาว โดยเขาได้ออกมาให้สัมภาษณ์ทำนองที่ว่า “ข้าพเจ้าผ่านเส้นทางการเมืองมาแล้วอย่างยาวนาน และความพ่ายแพ้ในการดีเบตถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา โดยข้าพเจ้ายังยืนยันที่จะสนับสนุนประธานาธิบดีโจ ไบเดนต่อไปอย่างแน่นอน”
และถึงแม้ว่าขณะนี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะถูกเรียกร้องให้ถอนตัวจากการแข่งขันก็ตาม แต่จากการหยั่งเสียงของสำนักรอยเตอร์ส ร่วมกับสำนักหยั่งเสียงIpsos เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2024 ปรากฏออกมาว่า คะแนนนิยมของประธานาธิบดีโจ ไบเดน และ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีอยู่เท่าๆกันที่ 40%
ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจว่า หลังจากกลางเดือนมิถุนายนคะแนนของประธานาธิบดีโจ ไบเดน กลับมีเพิ่มขึ้น 2%
และเพื่อลดความกังวลของชาวอเมริกันลงไป ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็ได้ออกเดินทางไปยังรัฐวิสคอนซิน ซึ่งเป็นรัฐที่คะแนนนิยมทั้งของเขาและทั้งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีสูสีคู่คี่กัน!!!
โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ออกไปพบปะกับชาววิสคอนซิน และได้ประกาศยืนยันว่า “จะสู้ไม่ยอมถอย”
และเพื่อต้องการที่จะมอบความมั่นใจแก่อเมริกันชนให้คืนกลับมาสู่ตนเอง เมื่อวันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม 2024 ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับพิธีกรชื่อดังแห่งสำนักข่าวสถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ช่องเอบีซี เป็นเวลานานกว่า 22 นาที แต่กลับปรากฏว่าไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร
แต่เขาก็ไม่ละความพยายามมุ่งหน้าแก้ไขปัญหาวิกฤกติในครั้งครานี้ จนปรากฏว่าได้ผลเกินคาด เพราะเมื่อวันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม จากการหยั่งเสียงของ “สำนักหยั่งเสียงบลูมเบอร์ก” ร่วมกับ “สำนักหยั่งเสียงMorning Consulting” ได้เปิดเผยออกมาว่า ในสองรัฐของสหรัฐฯ ที่ถือเป็นรัฐสวิงมีความนิยมที่ไม่แน่นอนแกว่งไปแกว่งมาเหมือนดังชิงช้านั้น ขณะนี้ปรากฏว่า คะแนนนิยมของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แซงขึ้นหน้าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ไปแล้วทั้งใน รัฐวิสคอนซินและ รัฐมิชิแกน
ส่วนรัฐแอริโซนา เนวาดาและรัฐจอร์เจีย คะแนนนิยมของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็กำลังขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
กระนั้นก็ตามดูเหมือนว่าขณะนี้เสียงในพรรคเดโมแครต เริ่มแตกคอกันแล้ว โดยมีนักการเมืองสิบคนจาก ส.ส.ในพรรคเดโมแครต 213 คนได้เรียกร้องให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดนถอนตัว แต่นักการเมืองผิวสีปฏิเสธที่จะกดดันประธานาธิบดีโจ ไบเดน
แต่ทว่า .ส.ส.อดัม ชิฟฟ์” จาก รัฐแคลิฟอร์เนีย ตัวเก็งที่อาจจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกคนใหม่ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ออกมาวางตัวเป็นกระบอกเสียงคนสำคัญในกลุ่มสภาผู้แทนราษฎร ประกาศว่าต้องการจะปกป้องประธานาธิบดีโจ ไบเดน
ถึงแม้ว่าขณะนี้พรรคเดโมแครตกำลังเกิดความแตกแยกกันขึ้นก็ตาม แต่ปรากฏว่า “ศาสตราจารย์ดร.อลัน ลิชท์แมน” นักประวัติศาสตร์ชื่อดังแห่ง “มหาวิทยาลัยอเมริกัน” ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการทำนายผลการเลือกตั้งได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเขาคิดค้นสูตรในการทำนายขึ้นมาเอง โดยที่ผ่านๆมาจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสิบครั้ง เขาสามารถทำนายได้อย่างถูกต้องแม่นยำ 9 ใน 10 ครั้งเลยทีเดียว!!!
ยกตัวอย่างเมื่อปีค.ศ. 2016 ในการแข่งขันเลือกตั้งที่เกิดขึ้นระหว่าง “ฮิลลารี คลินตัน”และ “โดนัลด์ ทรัมป์” ซึ่งการแข่งขันครั้งนั้นฮิลลารี คลินตัน ชนะการดีเบตไปทั้งสามครั้ง และสำนักหยั่งเสียงทุกๆสำนักต่างก็ลงความเห็นแบบเป็นเสียงเดียวว่า ฮิลลารี คลินตัน จะเป็นฝ่ายชนะ
มีเพียงศาสตราจารย์ดร.อลัน ลิชท์แมน คนเดียวเท่านั้น ที่ออกมาทำนายล่วงหน้าว่า “โดนัลด์ ทรัมป์จะชนะการเลือกตั้ง” ที่ได้เกิดกลายเป็นความจริงขึ้นมา
สำหรับแรงกดดันที่จะทำให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ถอดใจจนต้องถอยฉากไม่ไปต่อนั้น ปรากฏว่าดร.ลิชท์แมน กลับมีความเห็นตรงกันข้าม โดยเขาได้ออกมากล่าวว่า เนื่องจากขณะนี้พรรคเดโมแครตยังไม่มีนักการเมืองคนใดเลย ที่สามารถจะเข้าไปต่อกรกับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ เพราะฉะนั้นประธานาธิบดีไบเดนคงจะต้องยืนหยัดสู้ต่อไป
ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับความผิดพลาดในการแข่งขันดีเบตของประธานาธิบดีโจ ไบเดนนั้น ดร.ลิชท์แมน ได้อธิบายว่า “สามารถแก้ไขได้” ส่วนข้อเสนอของพรรคเดโมแครตที่ต้องการจะให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศถอนตัว นับเป็นวิธีการที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ และยังเป็นเรื่องที่แสนจะไร้สาระ
ดร.ลิชท์แมน ได้ยกตัวอย่างในกรณีการดีเบตของ“ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน” เมื่อปีค.ศ. 1984 ที่ครั้งนั้นคนอเมริกันมีความคลางแคลงไม่มั่นใจว่า ประธานาธิบดีเรแกนสามารถจะอยู่ในทำเนียบขาวต่อไปอีกสี่ปีได้หรือไม่? แต่กลับปรากฏว่า ครานั้นประธานาธิบดีเรแกนได้รับชัยชนะถึง 49 รัฐ และต่อมายังได้รับการยกย่องในฐานะประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของสหรัฐฯอีกด้วย
ศาสตราจารย์ดร.อลัน ลิชท์แมน ยังกล่าวยืนยันว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ถือว่ามีความได้เปรียบเหนือกว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ หลายขุมเลยทีเดียว ยกตัวอย่าง กรณีที่ประธานาธิบดีทรัมป์ต่อต้านการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และยังมีแผลทางการเมืองอย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการถูกคณะลูกขุนตัดสินด้วยมติเอกฉันท์ในความผิดถึง 34 กระทง
ศาสตราจารย์ดร.อลัน ลิชท์แมน ยังได้กล่าวถึงข้อได้เปรียบอีกข้อหนึ่งของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในเรื่องผลงานยอดเยี่ยมทางด้านเศรษฐกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว และในเรื่องการบริหารประเทศสามปีที่ผ่านมาไม่เคยมีเรื่องราวของการคอร์รัปชันปรากฏออกมาให้เห็นเลย!!!
อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้ ดร.ลิชท์แมนยังมิได้ทำนายว่าใครจะเป็นผู้ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาคนต่อไป โดยเขาบอกแต่เพียงว่า จะออกมาประกาศคำทำนายในเดือนสิงหาคม 2024นี้
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นดูเหมือนว่านักการเมืองในค่ายพรรคเดโมแครตบางคนกำลังตั้งความหวังที่จะให้ “รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส” เข้าเสียบแทนที่ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” แต่จากการรายงานของสำนักหยั่งเสียงเดลิเมล์ เมื่อวันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม 2024 ปรากฏว่าคะแนนนิยมของ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์”นำหน้ากว่ารองประธานาธิบดีแฮร์ริส ไปถึง 11% คือ 49% ต่อ 38% และการที่นักการเมืองหลายๆคนในพรรคเดโมแครตออกมาเสนอให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศถอนตัว โดยมิได้เสนอทางออกที่ดี ถือว่าไม่ชอบมาพากลแปลกประหลาดเกินคำบรรยายละครับ.