วันที่ 6 กรกฎาคม 2568 นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช ได้โพสต์คลิปพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ “เทพไท - คุยการเมือง” โดยระบุถึงสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ว่า กำลังเกิด ศึกชิงอำนาจระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้าน ในประเด็นการหานายกรัฐมนตรีชั่วคราว หรือ "นายกรัฐมนตรีเฉพาะกิจ" ที่อาจจะขึ้นมาทำหน้าที่แทนนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่

ฝ่ายค้านเดินเกมหนุน "นายกฯ กลาง" – ปัดร่วมรัฐบาล
พรรคประชาชนแสดงจุดยืนชัดเจนว่า พร้อมโหวตสนับสนุนนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ไม่ว่าจะเป็นใคร ตราบใดที่ยอมรับเงื่อนไข 3 ข้อ ได้แก่

  1. ดำเนินการจัดทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2569 ให้แล้วเสร็จ
  2. จัดทำประชามติ
  3. เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ และประกาศยุบสภา

โดยยืนยันว่า พรรคประชาชนจะไม่ร่วมรัฐบาล แต่พร้อมสนับสนุนผู้นำคนใหม่ตามข้อตกลงดังกล่าว

เพื่อไทยยัน “ยังไม่ถึงคิวภูมิใจไทย” – ชู “ชัยเกษม” เป็นตัวเลือก
ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า ยังไม่ถึงคิวของพรรคภูมิใจไทย พร้อมเสนอชื่อ นายชัยเกษม นิติสิริ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีกคน หากนางสาวแพทองธารไม่สามารถดำรงตำแหน่งต่อได้ โดยย้ำว่าควรให้พรรคเพื่อไทยเสนอชื่อก่อน เพราะยังมีสิทธิ์ตามลำดับ

เกมใต้ดินเริ่มปะทุ บรรยากาศคล้ายช่วงเปลี่ยนนายกฯ ปี 2551
นายเทพไท เปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันกับช่วงปี 2551 ขณะพรรคพลังประชาชนถูกยุบ และเกิดการแข่งขันชิงเสียงข้างมากในสภาระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ กับอดีตพรรคพลังประชาชน ซึ่งนำโดยพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน โดยในครั้งนั้นมีการช่วงชิงอำนาจระหว่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก สะท้อนให้เห็นถึงการเดินเกมแบบลับ ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้เช่นกัน

ฝ่ายค้านรวมตัวหนุน “อนุทิน” – รัฐบาลยังยื้อ “แพทองธาร”
บรรยากาศการเมืองเริ่มชัดเจนมากขึ้น เมื่อพรรคฝ่ายค้านอย่าง พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย มีแนวโน้มร่วมมือกันในการเสนอชื่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ขณะที่พรรคเพื่อไทยยังคงเดินหน้าหนุน น.ส.แพทองธาร หากไม่เป็นผล ก็จะผลักดัน นายชัยเกษม ขึ้นมาแทน ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ ยังคงนิ่งเฉย ไม่มีท่าทีใด ๆ ออกมาในขณะนี้

บทสรุป: เกมชิงไหวชิงพริบเริ่มต้นแล้ว
นายเทพไททิ้งท้ายว่า การเมืองหลังจากนี้จะเป็นการชิงไหวชิงพริบและการหักเหลี่ยมกันทางการเมือง เพื่อช่วงชิงตำแหน่งผู้นำประเทศ โดยมีด่านสำคัญคือน้ำหนักของฝ่ายอนุรักษ์นิยม ที่อาจเป็นตัวชี้ขาดว่า ใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป