ชาวบ้านชายแดน อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ยังใช้ชีวิตและทำมาหากินท่ามกลางความกังวล หลังเกิดปัญหาพิพาทไทย-กัมพูชายืดเยื้อมานานกว่า 1 เดือน ยังตึงเครียดไม่มีท่าทีจะยุติความขัดแย้ง บางคนไม่กล้าออกไปกรีดยางเช้า-มืดคนเดียว เพราะกังวลเรื่องความปลอดภัย หลายครอบครัวก็ยังเตรียมเสื้อผ้าและข้าวของสำคัญไว้หากเกิดเหตุฉุกเฉิน ก็พร้อมอพยพทันที

(6 ก.ค.68)  ชาวบ้านสายโท 6 ใต้  ตำบลจันทบเพชร  อำเภอบ้านกรวด  จังหวัดบุรีรัมย์  ซึ่งอยู่ติดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา   ยังใช้ชีวิตและทำมาหากินท่ามกลางความกังวล  หลังเกิดปัญหาพิพาทแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ยืดเยื้อมานานกว่า 1 เดือน   ยังไม่มีท่าทีว่าจะยุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้น  สถานการณ์ยังคงตึงเครียดทหารทั้งสองฝ่ายยังไม่มีการถอนกำลัง   ทำให้ชาวบ้านบางคนที่มีสวนยางหรือพื้นที่การเกษตรใกล้ตะเข็บชายแดน   ไม่กล้าออกไปกรีดยางหรือทำไร่ทำสวนตอนเช้ามืดคนเดียวเหมือนเมื่อก่อน  ต้องมีคนไปเป็นเพื่อนเพราะกังวลเรื่องความปลอดภัย    

ส่วนพ่อค้าแม่ค้าและชาวบ้านที่เคยนำสินค้าพืชผักไปที่จุดผ่อนปรนช่องสายตะกู   หลังจากปิดพรมแดนเปิดแค่เพื่อมนุษยธรรม  ก็ต้องปรับตัวไปทำอาชีพอื่นเพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัว   ทั้งนี้หลายครอบครัวก็ยังเตรียมเสื้อผ้าและข้าวของสำคัญไว้ ตามประกาศของทางการ หากเกิดเหตุฉุกเฉินก็พร้อมอพยพได้ในทันที   

นางอำพร  เครือมนต์  ชาวบ้านสายโท 6 ใต้ ยอมรับว่า  ตอนนี้ยังรู้สึกกังวลกับสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เพราะหมู่บ้านอยู่ใกล้ชายแดน  และตัวเองมีลูกน้อยด้วย  ก็มีการเตรียมของเอาไว้   หากเกิดการปะทะขึ้นจริงก็จะพาลูกไปอยู่บ้านญาติที่ต่างจังหวัด  แต่ใจก็ไม่ได้อยากให้เกิดการสู้รบกันเพราะจะส่งผลหลายอย่าง ทั้งการใช้ชีวิตและทำมาหากิน ก็อยากให้รัฐบาลหรือหน่วยงานด้านความมั่นคง   เร่งเจรจาหาทางออกปัญหาพิพาทชายแดนระหว่างสองประเทศที่เกิดขึ้น เพื่อที่ชาวบ้านจะได้กลับใช้ชีวิตทำมาหากินค้าขายเป็นปกติเหมือนเดิม       

 

นายต่วน ศรีศิลา อายุ 82 ปี  บอกว่า หากสถานการณ์พิพาทชายแดนยืดเยื้อไปเรื่อย  จนถึงขั้นต้องปิดด่านพรมแดนไม่มีกำหนดแบบนี้ ก็ต้องกระทบกับพ่อค้าแม่ค้าและชาวบ้านที่ตามแนวชายแดน  ที่เคยนำสินค้าพืชผักไปขายที่ช่องสายตะกูแน่นอน   

ส่วนตัวมองว่าปัญหาพิพาทชายแดนที่ยืดเยื้อเป็นเรื่องการเมืองด้วย   เพราะประชาชนทั้งสองฝั่งก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ก็อยากให้เร่งเจรจาให้จบลงด้วยดีโดยเร็ว