เกมยื้อ-เกมรอ-เกมเสี่ยง! เมื่อเงาของ “เนวิน” ยังหลอกหลอนในห้องประชุมพรรคเพื่อไทย...

ในขณะที่สถานการณ์การเมืองไทยเดินหน้าสู่จุดเปราะบางอย่างยิ่ง ภายใต้รัฐบาลที่นำโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หลายฝ่ายเริ่มตั้งข้อสังเกตว่า นายกรัฐมนตรีหญิงกำลังถ่วงเวลาไม่ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อรอดูคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่คาดว่าจะมีขึ้นในช่วงบ่ายเดือนสิงหาคม หรือต้นเดือนกันยายนนี้ว่าต้องพ้นจากตำแหน่งหรือไม่

เบื้องหลังการยื้อเวลานี้ ไม่ได้เป็นเพียงการ “ประคองอำนาจ” ท่ามกลางคลื่นต้านเท่านั้น แต่ยังสะท้อน “บาดแผลทางการเมืองในอดีต” ที่ฝังลึกในจิตสำนึกของพรรคเพื่อไทย ว่าหากรีบร้อนลาออกหรือยุบสภาโดยไม่วางหมากรัดกุม อาจเปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามพลิกเกมขึ้นมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง ดังเช่นกรณี “มันจบแล้วครับนาย” ที่กลุ่มนายเนวิน ชิดชอบ เลือกหันหลังให้พรรคพลังประชาชน แล้วไปโหวตให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2551

บาดแผลจาก “มันจบแล้วครับนาย”

ย้อนกลับไปในปลายปี 2551 หลังพรรคพลังประชาชนซึ่งสืบทอดอำนาจจากพรรคไทยรักไทยถูกยุบ กลุ่มเพื่อนเนวินที่มี ส.ส. อยู่ในมือจำนวนหนึ่ง ได้แยกตัวไปสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมโหวตให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

เหตุการณ์นี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองที่ส่งผลให้ “ระบอบทักษิณ” สูญเสียการควบคุมอำนาจรัฐอย่างสิ้นเชิง และวลี “มันจบแล้วครับนาย” ที่สื่อว่านายเนวินประกาศตัดสัมพันธ์ทางการเมืองกับนายทักษิณ ชินวัตร กลายเป็นตราประทับแห่งความเจ็บปวดที่พรรคเพื่อไทยไม่มีวันลืม

กรณีนี้ส่งผลอย่างลึกซึ้งต่อยุทธศาสตร์ทางการเมืองของกลุ่มเพื่อไทยมาจนถึงปัจจุบัน และเรียนรู้ว่า “อย่าปล่อยเกมอยู่ในมือคนอื่นเด็ดขาด” โดยเฉพาะช่วงเปลี่ยนผ่านอำนาจ ซึ่งอาจทำให้พันธมิตรกลายเป็นศัตรูได้ในพริบตา

ยื้ออำนาจเพื่อรอคำวินิจฉัย – เพื่อ“ปลอดภัยไว้ก่อน”

มาถึงปี 2568 ความกังวลของพรรคเพื่อไทยและนางสาวแพทองธารดูเหมือนจะกลับมาสะท้อนรอยอดีตอีกครั้ง เมื่อคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่านายกฯ ผิดจริยธรรมจากกรณีคลิปเสียงที่เกี่ยวโยงกับผู้นำกัมพูชา กำลังอยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณา

การที่นายกรัฐมนตรีไม่แสดงความรับผิดชอบตามเสียงเรียกร้องจากหลายภาคส่วนด้วยการลาออกทันที บางฝ่ายอาจมองว่าเป็น “การดื้อด้าน” หรือ “ยื้อเกมอำนาจ” แต่ในมุมของผู้มีประสบการณ์ทางการเมืองนั้น การถอยโดยไม่รู้ชะตากรรม อาจเป็นกับดักที่นำไปสู่การสูญเสียอำนาจแบบถอนตัวไม่ขึ้น

หากนางสาวแพทองธารลาออกทันที อาจต้องมีการเลือกนายกฯ คนใหม่ในสภา ซึ่งจะทำให้เกมการเมืองเปิดกว้าง และมีโอกาสเกิดการ “พลิกขั้ว” คล้ายปี 2551 ซึ่งถ้าเกิดการรวมเสียงระหว่างฝ่ายค้านและกลุ่มงูเห่า พรรคพลังประชาชนในวันนั้นก็อาจจะกลายเป็นพรรคเพื่อไทยในวันนี้  

ปัญหาอำนาจ “รักษาการนายกฯ” กับการยุบสภา – ทางตันที่อาจคิดไม่ถึง

แต่กลยุทธ์ยื้อเวลา “ไม่ลาออก” กลับกำลังเผชิญปัญหาใหม่ เมื่อมีการตีความทางกฎหมายชัดเจนโดยนายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ผ่านเฟซบุ๊ก “Alex Pakorn” ว่า...

“รองนายกรัฐมนตรีที่รักษาราชการแทนนายกฯ ไม่มีอำนาจยุบสภา เพราะไม่ได้รับความไว้วางใจจากสภาให้เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร”

นั่นหมายความว่า หากศาลสั่งพักงานนางสาวแพทองธารในระหว่างพิจารณาคดี หรือหากเธอลาออกก่อนคำวินิจฉัยจริง รัฐบาลจะเข้าสู่โหมด “รักษาการ” ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถเสนอพระราชกฤษฎีกายุบสภาได้

หรืออีกนัยหนึ่ง กลยุทธ์ “ถ้าจะแพ้ ก็ขอยุบสภาเลือกตั้งใหม่เพื่อชิงความชอบธรรม” ก็จะกลายเป็นหมากที่ใช้ไม่ได้ทันที  

สภาวะอำนาจตีบตัน – ไม่มีใครกล้าเดินหน้า

ในบริบทนี้ ประเทศไทยจึงอยู่ในภาวะเปราะบางสุดขีด เพราะ…

-ฝ่ายค้านเดินเกมไม่สุด เนื่องจากเกรงจะถูกกล่าวหาว่า “เร่งเร้าเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง”

-พรรคเพื่อไทยกลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอย หากเปลี่ยนเกมก่อนเห็นทิศชัด

-ฝ่ายราชการบางกลุ่มเริ่ม “เกียร์ว่าง” เพราะไม่แน่ใจว่าใครจะเป็นฝ่ายอยู่รอดในท้ายที่สุด

กล่าวได้ว่า นี่คือภาวะที่ “ไม่ยอมแพ้ แต่ก็เดินหน้าไม่ได้” ทุกฝ่ายติดกับกลยุทธ์ของตัวเองโดยไม่มีช่องให้เคลื่อนไหว

ทางออกที่ถูกบีบให้เหลือไม่กี่ทาง

ด้วยข้อจำกัดทางรัฐธรรมนูญ และความซับซ้อนของระบบ “ความไว้วางใจ” แบบ Westminster การแก้เกมจากฝั่งรัฐบาลจึงเหลือทางเลือกน้อยลงทุกที

หากรอคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญ และผลออกมาเป็นลบ = รัฐบาลสิ้นสุดทันทีแบบไม่มีเงื่อนไข และสภาต้องเลือกนายกฯ ใหม่

หากผลออกมาเป็นบวก = แม้รอดตัว แต่ความชอบธรรมทางการเมืองก็ยังถูกตั้งคำถาม

หากลาออกตอนนี้ = เกมยุบสภาเพื่อ “รีเซ็ตใหม่” ไม่สามารถใช้ได้เพราะอำนาจไม่ได้อยู่ในมือแล้ว

กล่าวได้ว่า “กลยุทธ์ถ่วงเกม” ของนางสาวแพทองธาร อาจนำไปสู่ภาวะอัมพาตทางการเมืองโดยไม่ได้ตั้งใจ

สัญญาณเตือนจากสังคม – ความไว้วางใจไม่ใช่แค่ในสภา

สิ่งที่น่าสนใจคือคำอธิบายของนายปกรณ์นั้น เน้นย้ำว่า “ความไว้วางใจ” ในระบบรัฐสภาแบบ Westminster ต้องได้รับจาก “เสียงส่วนใหญ่ในสภา” อย่างชัดเจน แต่ในโลกแห่งความจริง “ความไว้วางใจ” ที่สำคัญไม่แพ้กัน คือความไว้วางใจจากประชาชน

ขณะที่สภาอาจยังไม่เปลี่ยนขั้ว แต่คะแนนนิยมที่ลดลงของนางสาวแพทองธาร และเสียงขับไล่จากภาคประชาชนจำนวนมาก กำลังส่งสัญญาณเตือนว่า หากยื้อเกมมากเกินไป อาจไม่ใช่แค่ “มันจบแล้วครับนาย” แต่จะกลายเป็น “มันจบแล้วครับพรรค” ด้วยซ้ำ

สรุป: ประวัติศาสตร์สอนอะไร?

ประวัติศาสตร์การเมืองไทยในปี 2551 ย้ำเตือนว่า...“อำนาจที่ยืมมือคนอื่นได้ อาจถูกดึงกลับคืนทุกเมื่อ”

วันนี้ พรรคเพื่อไทยยังมีไพ่ในมือบางส่วน

แต่ยิ่งยื้อ...ยิ่งห่างประชาชน

และยิ่งเปิดพื้นที่ให้เกมของฝ่ายตรงข้ามฟื้นตัวอย่างเงียบๆ

ในทางกลับกัน หากวางเกมรัดกุม ยอมถอยแบบมีแผน สำรองกำลังไว้ตั้งรับ บางทีอาจเปลี่ยน “เกมปะทะ” ให้กลายเป็น “เกมพักฟื้น” เพื่อกลับมาแข็งแกร่งในวันข้างหน้า

                                

#แพทองธาร #มันจบแล้วครับนาย #เนวินชิดชอบ #เพื่อไทย #วิกฤตรัฐบาล #ยุบสภาไม่ได้ #การเมืองไทย #ดราม่าการเมือง #ศาลรัฐธรรมนูญ #อภิสิทธิ์เวชชาชีวะ