เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ได้จุดชนวนแรงสั่นสะเทือนลูกใหม่ต่อเศรษฐกิจโลก ด้วยการประกาศเก็บภาษีนำเข้าแบบเหมารวม (Flat Tariffs) ต่อ 14 ประเทศ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ประเทศไทย ที่ถูกจัดเก็บภาษีในอัตราสูงถึง 36% ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ
ประกาศนี้ไม่ใช่แค่ “มาตรการเศรษฐกิจ” ตามนโยบาย “ภาษีต่างตอบแทน” (Reciprocal Tariffs) ของทรัมป์ แต่ยังส่งผลซ้ำหนักไปถึง เสถียรภาพของรัฐบาลไทย ที่ขณะนี้กำลังอยู่ในภาวะเปราะบางจากวิกฤตภายใน ทั้งกรณีคลิปเสียงนายกรัฐมนตรีหญิง และปัญหาความเชื่อมั่นจากพรรคร่วม
เศรษฐกิจถูกบีบจากนอก – การเมืองถูกบีบจากใน นี่คือ “ศึกซ้อนศึก” ที่รัฐบาลแพทองธารแทบไม่ทันตั้งตัว
“ภาษีทรัมป์” กับอัตราโหด 36% : สารตั้งต้นของแรงสั่นสะเทือน
ทรัมป์เผยแพร่มาตรการดังกล่าวผ่านโซเชียลมีเดียของเขาเอง (Truth Social) พร้อมภาพหน้าจอของจดหมายที่ส่งถึงผู้นำของแต่ละประเทศ
อัตรา 36% ที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าทุกประเภทของไทยนั้น สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศคู่ค้าหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ (25%) อินโดนีเซีย (32%) ซึ่งสะท้อนว่าไทยถูกจัดอยู่ใน "กลุ่มความเสี่ยงสูง" ของทรัมป์โดยตรง
แม้จะเคยมีช่วง “ผ่อนผัน” เมื่อเดือนเมษายน แต่การประกาศล่าสุดระบุชัดว่า มีผลบังคับใช้แน่นอนตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2568 และที่น่ากังวลยิ่งกว่า…คือคำเตือนว่า หากไทยโต้กลับด้วยมาตรการภาษี สหรัฐฯ จะเรียกเก็บเพิ่มอีก
📉 ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย: ห่วงโซ่การส่งออกถูกทุบกลางลำ
ภาษีนำเข้า 36% หมายถึง “ต้นทุนสินค้าส่งออกของไทยในตลาดสหรัฐฯ พุ่งขึ้นเกินมาตรฐานแข่งขันได้ทันที”
สินค้าที่เคยได้เปรียบ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ อาหารแปรรูป เสื้อผ้า-สิ่งทอ ชิ้นส่วนยานยนต์ จะเผชิญคำสั่งซื้อลดลงทันทีเมื่อเข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปี
บริษัทส่งออกขนาดกลางและเล็กจะเป็นผู้รับผลกระทบโดยตรง ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ต้องเร่งหาตลาดใหม่ทดแทน แต่ก็ไม่ง่ายในช่วงเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
ค่าเงินบาทจะถูกกดดัน จากการคาดการณ์ว่าเงินทุนต่างชาติอาจไหลออกเพราะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นไทย อาจเผชิญ sell-off โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ
🏛️ ผลกระทบทางการเมือง: รัฐบาลไทยในศึกซ้อนศึก
ในจังหวะที่ภาคเศรษฐกิจกำลังเตรียมรับแรงกระแทก รัฐบาลไทยกลับอยู่ในสถานะ “ไร้เสถียรภาพ” อย่างรุนแรง
นายกรัฐมนตรีหญิง “นางสาวแพทองธาร ชินวัตร” ถูกศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องเรื่องจริยธรรมและอาจต้องพ้นจากตำแหน่งภายในไตรมาสนี้
รองนายกฯ ที่รักษาการอยู่ในขณะนี้ ถูกตีความทางกฎหมายว่าไม่มีอำนาจยุบสภา และไม่สามารถเสนอแต่งตั้ง ครม. ใหม่ได้
พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคเริ่มขยับถอยห่าง เมื่อเห็นว่ากระแสสังคมกำลังตีตัวออกจากพรรคเพื่อไทย
ขณะที่ภาคธุรกิจและผู้ส่งออก กำลังรอความชัดเจนในการตอบโต้หรือเจรจากับสหรัฐฯ แต่รัฐบาลไทยกลับไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เต็มที่เพราะติด “สุญญากาศอำนาจ”
กล่าวให้ชัดคือ… “ไทยเจอแรงกระแทกเศรษฐกิจขาเข้า แต่ฝ่ายบริหารกลับขาอ่อน”
🤝 ทางออกที่ยังไม่เปิด และเวลาไม่รอ
แม้ก่อนหน้านี้ นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เสนอข้อแลกเปลี่ยนให้ไทยลดดุลการค้ากับสหรัฐฯ ลง 70% ภายใน 5 ปี และมุ่งสู่การค้าที่สมดุลใน 7-8 ปี แต่ข้อเสนอของไทย ยังไม่สามารถหยุดทรัมป์ได้
เวลานี้รัฐบาลไทยมี 3 ทางเลือกเร่งด่วนคือ
1. เจรจาแบบเร่งด่วนระดับผู้นำ – แม้จะเป็นรักษาการนายกฯ แต่ต้องหาช่องทางพูดคุยกับทีมทรัมป์ หรือเชื่อมตรงไปยังภาคเอกชนสหรัฐฯ เพื่อให้เกิดแรงกดดันย้อนกลับ
2. ประกาศแผนช่วยเหลือผู้ส่งออก – เช่น มาตรการทางภาษีชดเชย การหาตลาดทางเลือกอย่างเร่งด่วน หรือใช้งบกลางเยียวยาเฉพาะกลุ่ม
3. เร่งหาทางออกทางการเมืองเพื่อคืนเสถียรภาพ – เพื่อให้รัฐบาลใหม่สามารถเจรจาได้เต็มมือและรับมือแรงสั่นสะเทือนระยะยาว
🧭 สรุป: ภาษี 36% ที่เกินภาษี คือแรงกระแทกความมั่นคงของประเทศ
ในช่วงเวลาที่ทุกฝ่ายจับตาว่ารัฐบาลจะอยู่หรือไป “ภาษีทรัมป์” กลับกลายเป็นจุดทดสอบสำคัญว่า ประเทศไทยมีระบบรัฐที่พร้อมรับมือกับวิกฤตจากภายนอกหรือไม่
เพราะหากภายในยังไร้เอกภาพ…แรงกดดันจากต่างประเทศจะไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจอีกต่อไป แต่จะเป็นตัวเร่งให้เสถียรภาพภายในพังลงแบบไม่มีเบรก
#ภาษีทรัมป์ #ReciprocalTariffs #ภาษีนำเข้า36%#ส่งออกไทยวิกฤต #รัฐบาลรักษาการ #เศรษฐกิจไทย2568#การเมืองเปราะบาง #แพทองธาร #สุริยะจึงรุ่งเรืองกิจ#โดนัลด์ทรัมป์ #ไทยสหรัฐ #เสถียรภาพรัฐบาล #บทวิเคราะห์เศรษฐกิจ