ภูมิธรรม ปัด ทักษิณ ครอบงำ นายกฯอิ๊งค์ ถกวง บ้านพิษฯ ชมเป็นคนเก่ง ย้อนถามยังเชื่อฮุน เซนอีกหรือ หลังปูด ทักษิณมาขอคำปรึกษาปมเขี่ย อนุทิน เหน็บคนพูดมีเครดิตแค่ไหน ยันไม่หวังดีกับเรา ส่วน หมอมิ้งค์ ยัน นายกฯอิ๊งค์มี เจตนาปกป้องผลประโยชน์ชาติ ยันมี 3คน อยู่ตอนคุย ปัดตอบ วิษณุ นั่งปธ.ทีมกฎหมายสู้คดี ขณะที่ ตร.ไซเบอร์ หอบสำนวนคลิปเสียง ฮุนเซน-นายกฯ ยื่นอัยการสูงสุด หลังพบการกระทำผิดด้านความมั่นคงจริง
ที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกฯ กล่าวถึงกรณีที่สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ออกมาระบุ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ปรึกษาทุกเรื่องโดยเฉพาะเรื่องการปลดนายอนุทินชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยฐานะอดีตรองนายกฯ และรมว.มหาดไทย จะสร้างความปั่นป่วนให้กับประเทศหรือไม่ว่า โดยนายภูมิธรรมถามกลับว่ายังเชื่อสมเด็จฮุนเซนอีกหรือ พูดหรือโพสต์อะไร อีกวันบอกไม่ใช่ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอด ยังเชื่ออีกหรือว่าเขามีความหวังดีกับประเทศเรา ก็ต้องคิด ไม่ใช่ว่าเขาพูดอะไรมา เราก็มาตื่นเต้น ไปหวั่นไหวกับสิ่งที่เขาพูด ต้องดูที่คนพูดว่ามีเครดิตแค่ไหน
เมื่อถามว่าเราจะต้องแก้เกมอะไรหรือไม่ หรือต้องทำความเข้าใจกับประชาชน นายภูมิธรรม กล่าวว่า อะไรที่ต้องทำก็ทำ
นายภูมิธรรม ยังกล่าวถึงผลสำรวจความเห็นของนิด้าโพลที่อยากให้นายกฯลาออก หรือยุบสภา เพื่อหานายกฯคนใหม่ ว่า ผลโพลเป็นทัศนะความเห็นของประชาชน เรารับฟัง แต่กระบวนการเป็นวิถีทาง ที่มีความชัดเจนหากศาลตัดสินใจแล้วก็ต้องเป็นไปตามนั้น ดังนั้น ขณะนี้อยู่ในกระบวนการที่นายกฯกำลังแก้ข้อกล่าวหา และกำลังต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมอยู่ ตนมองว่า ผลโพลอยู่ที่กระบวนการและปัญหาต่างๆ และท่าทีที่นายกฯกำลังเข้าสู่กระบวนการก็เกิดความรู้สึกได้ ทุกคนก็ทราบว่าที่ผ่านมาในรายละเอียดผลโพลก็เปลี่ยนได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และข้อเท็จจริงที่ปรากฏชัดเจนก็ไม่ต้องทำอะไร
นายกฯเข้าสู่กระบวนการทำข้อเท็จจริงให้เกิดขึ้น เชื่อว่าถ้าได้ทราบข้อเท็จจริงที่ชัดเจนแล้ว นายกฯน่าจะได้รับคะแนนความนิยมสูงขึ้นได้ เพราะว่าเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดท่านยังไม่ได้มีข้อเสียหายอะไรนอกจากเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ แล้วแต่จะพิจารณามองได้สองแบบ ถ้ามองในฐานะที่ท่านทำหน้าที่ มองทัศนคติเรื่องนี้ได้หลายแบบถ้าใช้สติ ตนว่าน่าจะเข้าใจมากขึ้น และต้องให้กระบวนการยุติธรรมว่าไป
นายภูมิธรรม กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มีความเคลื่อนไหวจนอาจถูกมองว่าครอบงำนายกฯว่า ไม่เกี่ยวกัน คนละคนกัน นายทักษิณเป็นผู้เชี่ยวชาญผู้รู้หลายเรื่อง การรับฟังความเห็นที่ดี ในการที่จะนำไปแก้ไขปัญหา ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร อย่างกรณีที่นายทักษิณ เข้าบ้านพิษณุโลกเพื่อร่วมประชุมทีมไทยแลนด์ เจรจาภาษีสหรัฐ เมื่อวันที่11 ก.ค.ที่ผ่านมา
ต้องยอมรับว่านายทักษิณ นั่นเก่งเรื่องล็อบบี้ยิสต์ การฟังหลายเรื่องก็เป็นประโยชน์ และนายทักษิณ ก็เคยทำธุรกิจและรู้จักใกล้ชิดกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ฉะนั้นการได้ฟังแง่มุมต่างๆก็เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ ไม่ควรจะต้องมาคอยจับผิดกัน เพราะเป็นเรื่องผลประโยชน์ภาพใหญ่ นายภูมิธรรม กล่าว
เมื่อถามว่ามีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่ ที่ระหว่างนี้รัฐบาลจะให้นายทักษิณเจรจาตรงกับ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายภูมิธรรม กล่าวว่าต้องรอดูสถานการณ์ว่าขนาดไหนเหมาะสม แต่ในการทำงานไม่จำเป็นต้องตั้งก็ได้ ความสัมพันธ์ส่วนตัวที่มีก็เป็นประโยชน์ ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องตั้งเป็นตัวแทนเนื่องจากนายทักษิณเองก็มีข้อจำกัดในหลายๆเรื่อง
เมื่อถามถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าทางสหรัฐอเมริกากดดันไทยแสดงความชัดเจนขั้นสูงสุด ยกระดับในเรื่องการทหารและความมั่นคงระหว่างประเทศ นายภูมิธรรม กล่าวว่า คุยทุกเรื่องและหลายเรื่อง ฉะนั้น แต่ละประเทศที่ผู้นำสหรัฐฯ ได้เลือกเงื่อนไขในการเจรจาก็แตกต่างกันไป ซึ่งไทยก็มีในทุกกรณี อย่างสมัยที่ตนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็มีเรื่องความมั่นคง โดยตนได้ยืนยันหลัก ที่จะต้องดูแลอธิปไตยของประเทศ และความเหมาะสมถูกต้องที่ควรจะเป็น
เมื่อถามย้ำว่าเหมือนทางสหรัฐฯต้องการให้ไทยเลือกข้างชัดเจน นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนไม่ค่อยชอบฟังข่าวขอเอาเนื้อจริงมาพูดคุยกัน เพราะหลายเรื่องที่พูดคุยกันตนไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะเป็นเรื่องความมั่นคง
ด้าน นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายฯ กล่าวถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.วัฒนธรรม จะเลื่อนการชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะครบกำหนด 15 วัน หลังศาลรับพิจารณาคดีปมคลิปเสียง และสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ว่า ขณะนี้กำลังเตรียมการอยู่ ถ้าไม่ทันก็ต้องมีการขอเลื่อน
เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวตั้งให้ นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกฯ มาเป็นประธานทีมกฎหมายของนายกฯ เพื่อสู้คดีหรือไม่ นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า วันนี้ข้อเท็จจริงต้องมาก่อน ซึ่งทุกคนที่เป็นที่ปรึกษากฎหมาย ที่มีข้อคิดเห็นหรือข้อแนะนำดีๆ เราก็รับฟังหมด
ส่วนทีมกฎหมายของนายกฯ มีทั้งหมดกี่ทีมนั้น นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า ก็มีชุดของท่านนายกฯ แต่จะมาจากทางไหนก็แล้วแต่ ก็ขึ้นอยู่กับท่าน
เมื่อถามว่า จะใช้ประเด็นไหนในการสู้คดี นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า ความเป็นจริง เจตนาเพื่อจะรักษาผลประโยชน์ของประเทศ และการสื่อสารที่ชัดเจน รวมถึงกระบวนการที่ผ่านมา ทั้งนี้ เขา (สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา) ใช้ประโยชน์จากวิธีการต่างๆ ที่ไม่เหมาะสม เช่น เอาคลิปสนทนาส่วนตัวเข้ามาเผยแพร่ แต่ทั้งนี้หากฟังในเนื้อหา จะเห็นว่าเจตนาทั้งหมด เป็นการรักษาผลประโยชน์ของชาติ ด้วยวิธีการสื่อสารกับคนที่ไม่ได้เป็นตัวแทนรัฐบาล
เมื่อถามถึงกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ระบุว่า นายกฯ มีเจตนาที่บริสุทธิ์และถูกหลอกให้อัดเสียง ถือเป็นข้อต่อสู้ในศาลได้ นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า ตนอยู่ในเหตุการณ์ นายกฯ ถูกติดต่อมา และถูกเลื่อนนัด 2 - 3 ครั้ง ซึ่งนายกฯ ไม่สบายใจที่จะต้องคุย ก็เลยติดต่อมาที่ตน และตนก็ได้เชิญ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย , รมว.ต่างประเทศ เข้าไปนั่งฟังด้วย ซึ่งระหว่างเจรจานายฮวด ล่ามแปลภาษาของสมเด็จฮุน เซน ก็บอกว่า เขาจบไม่ได้ ต้องหารือสมเด็จฮุน เซน ก่อน ก็เลยต่อสายไปที่สมเด็จฮุน เซน เราก็นั่งรอ และเขาก็ถ่ายภาพสมเด็จฮุน เซน ที่กำลังนอนหลับ ส่งมาให้เราและฝ่ายเราก็แจ้งให้ปลุกขึ้นมาเพราะนี้เป็นเรื่องใหญ่ แต่เขาไม่ได้ทำตาม ทั้งนี้ สิ่งที่สำคัญคือ สมเด็จฮุน เซน ไม่ได้เป็นตัวแทนรัฐบาล
เมื่อถามว่า กรณีสมเด็จฮุน เซน ไม่ได้เป็นตัวแทนรัฐบาล จะใช้เป็นข้อต่อสู้ใช่หรือไม่ นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า ข้อเท็จจริงทั้งหมดก็จะเห็นเจตนาว่านายกฯ คำนึงถึงการคุยกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงกลาโหม แม้แต่การรับสายส่วนตัว และคุยนอกเวลางาน ซึ่งในการต่อสายครั้งนั้นนายกฯ ไม่ได้รับปากอะไรเลย เพียงแต่บอกว่าจะไปหารือ และจะกลับมาคุยในตอนเช้า แต่ปรากฏว่าเขาเอาคลิปมาเผยแพร่ในช่วงที่เราประชุมอยู่บ้านพิษณุโลก
เมื่อถามว่า 3 คน ที่อยู่ร่วมกับนายกฯ จะเป็นพยานให้ด้วยใช่หรือไม่ นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า หากมีควาจำเป็นต้องยืนยัน เราก็อยู่ในเหตุการณ์ และมีหลักฐานต่างๆ ครบ มีพยานเยอะแยะว่าเหตุการณ์วันนั้นตนไปพูดคุยเตรียมความพร้อมที่ไหนบ้าง เรายืนยันเจตนา ที่สำคัญหารือใกล้ชิดกับผู้เกี่ยวข้องตลอดเวลา โดยเฉพาะกองทัพ ไม่ได้มีอะไรอย่างที่เขากล่าวหา
ที่โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ เป็นประธานในการเปิดโครงการศาลรัฐธรรมนูญพบสื่อมวลชน ประจำปี 2568 โดยได้กล่าวถึงการประชุมของศาลรัฐธรรมนูญประจำสัปดาห์ ซึ่งจะเป็นการประชุมในวันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม ต้องรอติดตามว่าจะมีการยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หรือขอขยายระยะเวลาชี้แจงในคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา(สว.) ขอให้วินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวจากกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โดยยอมรับว่าหากนายกรัฐมนตรีขอขยายระยะเวลาการชี้แจง ก็สามารถขยายได้ ส่วนจะขอกี่ครั้งหรือระยะเวลาเท่าไหร่นั้น ขอให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีการประชุมก่อน แต่อย่างน้อยสามารถขอขยายระยะเวลา 1 ครั้งได้อยู่แล้ว
ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับการพิจารณาจริยธรรมว่ามีขอบข่ายอย่างไรในกรณีคลิปเสียงสนทนา เนื่องจากคดียังอยู่ในชั้นการพิจารณา รวมถึงไม่กล่าวถึงกรอบระยะเวลาในการพิจารณาคดีจะถูกตั้งข้อกังขาไม่เช่นนั้นตุลาการ ถูกตั้งข้อกังขาว่าเร่งรัดหรือถ่วงคดี โดยย้ำว่าขอให้เป็นไปตามกระบวนการ
ส่วนที่สำนักงานอัยการสูงสุด พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 (ผบก.สอท.1) หอบสำนวนคดีคลิปเสียงสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา สนทนากับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ที่นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองที่มาแจ้งความไว้มามอบให้พนักงานอัยการสูงสุด
พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบ เฟสบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า Samdech Hun Sen of Cambodia ที่มีการโพสต์ข้อความและปล่อยคลิปเสียง พนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน เบื้องต้นพบว่าผู้ที่ใช้เฟสบุ๊กดังกล่าวอยู่ในประเทศกัมพูชา ซึ่งอยู่นอกราชอาณาจักรไทย โดยตามประมวลกฎหมายอาญา ทางพนักงานสอบสวนจะต้องส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุดเป็นผู้ดำเนินการต่อไป โดยเอกสารในวันนี้มีประมาณ 50 หน้า ที่เข้าข่ายความผิดมาตรา 116 เป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของราชอาณาจักร และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
โดยขณะนี้ยังเป็นคดีที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักรไทย ซึ่งผลการสืบสวนสอบสวนแอดมินเพจดังกล่าวมีมากกว่า 1 คน แต่ยังไม่สามารถที่จะระบุได้ว่ามีสมเด็จฮุนเซน เป็นแอดมินร่วมด้วยหรือไม่ เนื่องจากรายละเอียดอยู่ในสำนวนคดียังไม่สามารถเปิดเผยได้ ยืนยันไม่ได้เป็นการฟ้องแก้เกี้ยว เป็นการดำเนินการตามหน้าที่เนื่องจากมีผู้ร้อง และการสอบสวนพบว่ามีการกระทำความผิดจริง ซึ่งมีพฤติการณ์โพสต์ต่อเนื่อง โดยมีวัตถุประสงค์
ด้าน นายศักดิ์เกษม นิไทรโยค ผู้ตรวจการอัยการและโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า คดีนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นความผิดนอกราชอาณาจักร จะต้องมีการตั้งพนักงานอัยการสำนักงานการสอบสวน เข้าไปสอบสวนในคดีนี้ หากมีความเห็นสั่งฟ้อง ก็จะส่งเรื่องกลับไปที่อัยการสูงสุดให้พิจารณาว่าเห็นด้วยหรือไม่ หากเห็นด้วยก็จะดำเนินการขอศาลออกหมายจับและออกหมายแดงส่งให้อินเตอร์โพล ซึ่งอินเตอร์โพลมีภาคี 196 ประเทศ
ซึ่งขั้นตอนขณะนี้จะต้องตรวจสอบสำนวนในคดีว่าเป็นความผิดนอกราชอาณาจักรหรือไม่อย่างไร จึงจะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปได้ ส่วนกรอบเวลายังไม่สามารถกำหนดได้ ทั้งนี้ไม่ได้กังวล แต่ต้องมีความละเอียดในการตรวจสอบ เนื่องจากเป็นคดีที่มีความละเอียดอ่อนทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ