ทรงสร้างประโยชน์สุขสู่ปวงประชา เสกสรร สิทธาคม [email protected] พระมหากรุณาธิคุณ ในความทรงจำดร.สุเมธ ตันติเวชกุล (2) ทุกครั้งที่ไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชน หรือใครก็ตามที่มีโอกาสได้ไปขอให้ดร.สุเมธได้พูดได้เล่าถึงประสบการณ์ที่ได้ทำงานถวาย ทุกครั้งทุกคราต้องถามว่าได้รับความประทับใจอะไรบ้างในการถวายงาน “ผมคงตอบในฐานะส่วนตัวว่าผมซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อตัวผม และตอบในฐานะเป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่งผมซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อประชาชนชาวไทยทั้งชาติ” ดร.สุเมธบอกว่าตั้งแต่ได้ถวายงานและตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่เสด็จพระราชดำเนินไปทั่วทุกสารทิศแม้ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์พระประมุข และได้สังเกตเห็นความยากลำบากที่ทรงกรำงาน ทรงเหน็ดเหนื่อย พระองค์ทรงลุยบุกป่าฝ่าดง ถ้าตรงจุดใดในทั่วราชอาณาจักรไทยมีปัญหา ประชาชนเดือดร้อน มีความทุกข์ พระองค์ทรงพร้อมที่จะเสด็จฯไปทรงแก้ไขด้วยพระองค์เอง “ทั้งนี้ไม่ว่าพระองค์จะทรงย่างพระบาทไปในพื้นที่ใดบนผืนแผ่นดินไทย ทุกแห่งคือผืนแผ่นดินของพระองค์และพระองค์คือพระเจ้าแผ่นดินของประชาชน และประชาชนทุกหมู่เหล่าไม่ว่าพื้นที่ใดบนแผ่นดินนี้คือพสกนิกรของพระองค์ที่ต้องทรงไปปัดเป่าบรรเทาทุกข์ยากให้คลายลง”ดร.สุเมธย้ำ ปัญหาที่เข้ามาหาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชดร.สุเมธบอกว่ามีหลายประเภท ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ในฐานะพระประมุขของประเทศพระองค์ทรงแบกรับภาระทั้งหลายทั้งปวงเป็นเวลานานในปริมาณมาก ทุกครั้งที่ดร.สุเมธได้ไปบรรยายหรือตอบคำถามผู้สื่อข่าวต้องย้ำให้ผู้ฟังหรือผู้สื่อข่าวได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงตรัสว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม”ให้สังเกตพระราชดำรัสให้ดี พระองค์ไม่ทรงใช้คำว่า “ปกครอง” แต่ทรงใช้คำว่า “ครอง” แทน “ปกครอง” เป็นเรื่องการใช้อำนาจในการบริหารแผ่นดิน แต่การใช้คำว่า “ครอง”เช่นครองสมณเพศ ครองชีวิตสมรสเป็นการให้ความเคารพ ดูแลด้วยความเมตตา ซึ่งการครองแผ่นดินของพระองค์ทรงใส่พระทัยในการดูแลพสกนิกรและทรงใช้ธรรมาภิบาล โดยธรรมสำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชคือทศพิธราชธรรม ซึ่งเป็นศีลธรรมที่ทรงยึดถือมาตลอด และไม่ใช่เฉพาะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้นที่ทรงยึดปฏิบัติ แต่ทุกคนสามารถยึดถือปฏิบีติได้เช่นกัน จะได้ไม่ทะเลาะกันเช่นทุกวันนี้ เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาบอกต่อไปอีกว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีสายพระเนตรอันยาวไกล ทรงให้ความสำคัญกับชนบทมาก อาจจะสำคัญที่สุดก็ได้ ทรงเห็นว่าชนบทนั้นเป็นพื้นฐานของประเทศก็ว่าได้ “ทรงรับสั่งอยู่หลายครั้งหลายคราวว่า ถ้าประชาชนในชนบทอยู่ได้เราชาวกรุงหรือประเทศไทยทั้งหมดก็อยู่ได้ แต่ถ้าชนบทอยู่ไม่ได้ ประชาชนหรือประเทศทั้งประเทศก็คงจะอยู่ไม่ได้” ดร.สุเมธยืนยันว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมองชนบทเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจ สังคม เป็นส่วนประกอบของชาติบ้านเมืองและการเมืองด้วย งานเกือบร้อยละ 80-85 ของพระองค์เกี่ยวข้องกับงานด้านชนบททั้งสิ้น ในเวลาตี 1 ตี 2 จนกระทั่งถึงมืดค่ำ พระองค์เสด็จฯไปทรงเยี่ยมเยียนพสกนิกรและทรงงานอยู่ในชนบทนั้นเป็นภาพที่เราเห็นกันอยู่ตลอดเวลา ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวในโลกที่เสด็จฯไปทุกหนแห่งบนผืนแผ่นดินของประเทศโดยมิได้ทรงย่อท้อต่อความยากลำบากในการเสด็จพระราชดำเนิน ทรงประทับได้ทุกที่ไม่ว่าจะเป็นกลางหมู่บ้าน หรือริมถนน “ก่อนที่พระองค์จะเสด็จฯไปไหนนั้นจะทรงทำ “การบ้าน”ก่อนอย่างละเอียดลออที่สุด แม้กระทั่งเส้นทางการเดินทางปลีกย่อยที่ต้องเข้าป่าฝ่าดง รวมทั้งหมายเลขในหลักกิโลเมตรที่ทรงทราบเป็นอย่างดีทั้งที่ไม่เคยเสด็จฯไปยังพื้นที่นั้นมาก่อนเลย”ดร.สุเมธกล่าว ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล อดีตเลขาธิการกปร.ปัจจุบันเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาให้ข้อสังเกตว่าเวลาตามเสด็จพระราชดำเนินพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจะทรงสอนอยู่ตลอดเวลา ทุกโอกาสทรงสอนให้พวกเราที่ตามเสด็จฯรู้จักธรรมชาติ รู้จักสิ่งที่เกิดขึ้นในภาวะแวดล้อมต่างๆ ทรงสอนให้เราจับปัญหาและท้ายที่สุดที่มีค่าที่สุดคือเราจะแก้ปัญหาพร้อมๆกันไปอย่างไรพระองค์ก็ทรงสอน แม้กระทั่งขณะประทับอยู่ในรถพระองค์ก็ทรงสอน ทรงรับสั่งผ่านมาทางวิทยุที่ตอนนั้นยังไม่เข้าใจเลยว่าพระองค์ทรงทำได้อย่างไร ทรงรถด้วยและรถกำลังแล่น บางทีมืดค่ำแล้วแต่ยังทรงอธิบายว่าข้างหน้ามีหมู่บ้านชื่อนั้น หมู่บ้านที่เท่านั้น ผู้ใหญ่บ้าน กำนันชื่อนั้นชื่อนี้ ภูมิประเทศเป็นอย่างไร พระองค์ทรงจำได้อย่างขึ้นพระทัยซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าพระองค์ทรงสนพระทัยในชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทยอย่างลึกซึ้ง นี่แหละคือความปลื้มปีติที่คนไทยต่างสำนึกอยู่ในหัวใจมาโดยตลอดถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ที่ทรงมีต่อพสกนิกรของพระองค์ การที่ได้อ่านเนื้อถ้อยกระทงความที่ดร.สุเมธและหรือท่านอื่นๆที่รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทแล้วมีโอกาสนำมาถ่ายทอดสู่คนไทยด้วยกันได้อ่านทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่านับเป็นมงคลชีวิตที่ได้ย้ำให้สำนึกที่จะตอบแทนพระเมตตาโดยการเป็นคนดีเดินตามรอยพระยุคลบาท “ตั้งแต่ผมเริ่มถวายงาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงเป็นต้นแบบในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพฤติกรรม สติปัญญา การทุ่มเทในการทำงาน พระองค์ท่านทรงสอนหมด ถ้าพลาดเรื่องใด ทรงแนะนำเสมอ ทรงตักเตือน ทรงนำเอกสารให้อ่านและทรงอธิบายเสมอ อย่างเช่นเรื่องการเกษตรผมไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน พระองค์ท่านทรงสอนทรงแนะนำให้ เมื่อมีความรูแล้วก็เริ่มสนุก ผมดำนา ขึ้นเขา ลงห้วย ทำหมด สนุกทุกวัน และได้เห็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตจากพระราชจริยวัตรอันงดงามของพระองค์ ทรงอดทนมาก เสด็จพระราชดำเนินระยะทางเป็นกิโลเมตร ไม่ทรงเกี่ยงว่าทิศทางนั้นจะขึ้นเขาหรือลงห้วย”ดร.สุเมธเล่าอย่างมีความสุข เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาบอกต่อไปอย่างหนักแน่นว่าพระองค์ทรงพระปรีชาสามารถในศาสตร์ทุกด้านและทรงประสานศาสตร์ในสาขาต่างๆนำมาแก้ไขปัญหาให้เป็นไปอย่างมีหลักเกณฑ์และถูกต้อง เช่น ทรงนำศาสตร์ทางด้านเกษตรกรรม วิศวกรรม และศาสตร์ด้านอื่นๆมาพัฒนาระบบการเกษตรที่พระองค์ทรงเน้นในการพัฒนา เพื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่เจริญก้าว หน้าขึ้น (อ่านต่อฉบับบหน้า)