จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โพธิ์แก้ว สามารถจับกุมแก๊งชาวโคลัมเบีย 4 คน ที่ก่อเหตุลักทรัพย์ตู้เซฟในบ้านผู้พิพากษาที่ จ.นครปฐม เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา ก่อนที่จะขยายผลเข้าค้นบ้านเลขที่ 18/545 ซอย4 ถนนบรมราชินีนาถ เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร พบของกลางเป็นทองรูปพรรณ สร้อย นาฬิกา ได้หลายรายการนั้น ความคืบหน้าเมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 8 ม.ค. 60 พล.ต.ท.สุวิระ ทรงเมตตา รักษาราชการแทนที่ปรึกษา สบ.10 พร้อมกำลังตำรวจ สน.บางพลัด เข้าจับกุม นางสาวกาญจนา ประสงค์เสรีนนท์ และนายชัชวาล เหล้าวรรณะ เจ้าของบ้านเลขที่ 18/545 ซอย 4 ถนนบรมราชชนนี เขตบางพลัด ที่เป็นโรงงานรับแปรรูปเครื่องเพชรและทองรูปพรรณ หลังพบ 4 ผู้ต้องหา ชาวโคลัมเบีย นำทรัพย์สิน ทั้งทองรูปพรรณ เครื่องเพชร และพระเครื่อง ที่ได้จากการลักทรัพย์ บ้านพักของผู้พิพากษา ในจังหวัดนครปฐมเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2559 ไปขายให้โรงงานดังกล่าว โดยเมื่อช่วงสายวานนี้ขณะเข้าตรวจค้นตามคำให้การของผู้ต้องหา พบว่านางสาวกาญจนา และนายชัชวาล มีอาการและให้การพิรุธ จนได้รับการยืนยันจากผู้เสียหายว่ามีทรัพย์สินบางส่วน ที่ถูกลักทรัพย์ไปอยู่ในโรงงานดังกล่าว วันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำกำลังพร้อมหมายจับและพาผู้เสียหาย เข้าตรวจค้นขยายผลและชี้จุดที่เกิดเหตุอีกครั้ง พล.ต.ท.สุวิระ เปิดเผยว่า ในวันนี้เป็นการเข้าตรวจค้นโรงงานที่ผลิตเครื่องประดับที่เป็นทองคำและเพชร ชื่อร้านปิ่นเพชร จากการตรวจสอบแล้วพบว่าของกลางที่กลุ่มคนร้ายแก๊งโคลัมเบียโจรกรรมมาได้ถูกส่งมาขายที่นี่ แล้วก็ที่นี่เป็นโรงงานในการแปรรูปทองรูปพรรณให้เป็นทองก้อนแล้วก็นำเพชรไปทำเฟอร์นิเจอร์อื่นออกขาย วันนี้จึงได้ทำการจับกุม 2 สามีภรรยาเจ้าของโรงงานและเจ้าของร้านปิ่นเพชรดำเนินคดี พร้อมทั้งยึดของกลางบางส่วนที่เหลือที่ยังทำการหลอมไม่ทันและบางส่วนที่หลอมเป็นรูปพรรณอื่นแล้ว รวมทั้งบางส่วนที่แปลงเป็นเครื่องประดับอื่นไปแล้ว แต่ว่านำทองคำและเพชรมาจากของกลางในคดีนี้ พล.ต.ท.สุวิระ กล่าวอีกว่า ตัว 2 สามีภรรยาเจ้าของโรงงานนั้นเชื่อมโยงกับกุมคนร้ายอย่างใกล้ชิดทั้งในเรื่องการติดต่อสื่อสาร ทั้งเรื่องการตกลงซื้อขายกัน ทรัพย์สินที่โจรกรรมมาทุกล็อตของโคลัมเบียแก๊งนี้จะนำมาส่งให้ที่นี่ ซึ่งตำรวจมีหลักฐานที่ชัดเจน มีรูปถ่ายขณะทำการซื้อขายกัน ทรัพย์สินที่โจรกรรมมาก็ยังพบว่าอยู่ครบถ้วนในบางส่วน บางส่วนก็ถูกแปรสภาพไปแล้ว ซึ่งในส่วนนี้เจ้าของโรงงานรับสภาพว่าได้ทำการหลอมแล้วแปรสภาพไปแล้วบางส่วนเราจึงยึดทั้งส่วนที่แปรสภาพและส่วนที่ยังไม่แปรสภาพซึ่งมีมูลรวมไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท แล้วก็ยังมีของกลางที่เป็นทองรูปพรรณ พระเลี่ยมทองที่แก๊งโคลัมเบียนำมาขายให้ที่นี่ แล้วทำการแกะพระออกแล้วหลอมกรอบทั้งหมด ก็ขอให้ผู้เสียหายมาดูของกลางได้ที่ สภ.โพธิ์แก้ว จ.นครปฐม เพราะขณะนี้ยังมีของกลางอีกหลายร้อยรายการที่ยังไม่มีผู้เสียหายมายืนยันเป็นเจ้าของ ซึ่งหลังจากนี้จะทำการขยายผลไปยังร้านรับซื้ออื่นๆอีกต่อไป "พฤติการณ์ของคนร้ายแก๊งโคลัมเบีย จะใช้วิธีกดกริ่งตามบ้านพักหรูๆ หากพบว่าไม่มีผู้อยู่อาศัยจะดำเนินการเข้าโจรกรรมโดยพุ่งเป้าไปที่ตู้เซฟ ก่อนจะยกมาทำการตัดตู้และนำทองรูปพรรณ และเครื่องเพชร หรือพระเครื่อง ที่มีการทำกรอบทองหรือกรอบเพชร มาขายให้กับผู้ต้องหา ทั้ง 2 โดยในคดีของบ้านพักผู้พิพากษา ผู้ต้องหาทั้ง 2 รับซื้อทรัพย์สินมูลค่ารวมกว่า 5 ล้านบาท ในราคาเพียง 4 แสน 5 หมื่นบาท ก่อนที่ผู้ต้องหาทั้ง 2 จะทำการแปรสภาพทรัพย์สินที่รับซื้อมา เพื่อเตรียมนำไปขายต่ออีกทอด โดยจากข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พบว่าผู้ต้องหาทั้ง2 มีการรับซื้อกับกลุ่มผู้แก๊งโคลัมเบียไม่น้อยกว่ากว่า 4 ครั้ง โดยขณะนี้ยังไม่พบว่ามีคนไทยร่วมในการโจรกรรมกับแก๊งโคลัมเบีย แต่มีเพียงคนไทยที่ให้ข้อมูลและประสานในการนำทรัพย์สินที่ได้มาจากการโจรกรรมมาขายต่อตามแหล่งต่างๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการขยายผล" พล.ต.ท.สุวิระ กล่าวต่ออีกว่า ส่วนสมาชิกแก๊งโคลัมเบียขณะนี้ยังมีอีก 2 คนที่อยู่ระหว่างการหลบหนี แต่จากการตรวจสอบแล้วแก๊งโคลัมเบียมีอยู่หลายกลุ่ม ขณะนี้หลบหนีหมายจับของประเทสไทยมีประมาณ 139 คน ส่วนใหญ่มีประวัติต้องโทษทางคดีมาก่อน เมื่อพ้นโทษแล้วก็ถูกผลักดันออกนอกประเทศแต่ก็จะทำพาสปอร์ตใหม่แล้วกลับเข้ามาประเทศไทยอีกครั้งเพื่อก่อเหตุ เพราะฉะนั้นแก๊งโคลัมเบียในประเทศไทยในขณะนี้อยู่ในภาวะที่ต้องใช้มาตรการเด็ดขาดในการสกัดกั้นและปราบปราม ด้านนางสาวลัคนา แซ่ตั้ง ภรรยา ของนายนพรัตน์ บุญจร ผู้พิพากษา หัวหน้าศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เจ้าของทรัพย์สินที่ถูกกลุ่มคนร้ายโคลัมเบียโจรกรรมมาขายยังโรงงานแปรรูปดังกล่าว กล่าวว่า ดีใจเมื่อทราบว่าเจ้าหน้าที่จับกลุ่มคนร้ายและติดตามทรัพย์สินคืนได้บางส่วน โดยในวันนี้หลังจากเข้าตรวจสอบทรัพย์สินภายในโรงงานดังกล่าวก็พบว่าทรัพย์สินหลายชิ้น ถูกแปรสภาพไปจากเดิมแล้ว ซึ่งส่วนตัวรู้สึกเสียใจเพราะทรัพย์สินทั้งหมด ได้มาจากการทำงานเก็บออมและมาจากมารดาที่ให้ไว้ในวันสำคัญต่างๆ โดยส่วนตัวจากเหตุการณ์นี้ทำให้ได้อุทาหรณ์ว่า ไม่ควรเก็บทรัพย์สินของมีค่าต่างๆไว้เป็นจุดเดียวและไม่ควรเก็บทรัพย์สินที่มีค่มากๆไว้ภายในบ้านพัก เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาในข้อหาร่วมกันรับของโจร ประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำการซื้อขายของเก่าโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีรายการบัญชีซื้อขายของเก่า พร้อมให้พนักงานสอบสวนสภ.โพธิ์แก้ว ส่งเรื่องถึง สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง.ตรวจสอบหาที่มาของทรัพย์ทั้งหมด เพราะจากข้อมูลของพบว่าผู้ต้องหาทั้ง2ยังมีทรัพย์สินเป็นบ้านเรือนไทยขนาดใหญ่ใน อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี และทรัพย์สินอื่นๆอีกจำนวนมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องตรวจสอบว่าการได้มาของทรัพย์สินทั้งหมดมาอย่างถูกต้องตามกฏหมายหรือไม่หากได้มาอย่างไม่ถูกต้อง ต้องดำเนินการยึดทรัพย์ เพื่อนำทรัพย์เข้าสู่แผ่นดินและคืนให้กับเจ้าทรัพย์ต่างๆ พร้อมพิจารณาแจ้งข้อหาฟอกเงินกับผู้ต้องหาทั้ง2 ด้วย จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โพธิ์แก้วสามารถจับกุมแก๊งชาวโคลัมเบีย 4 คน ที่ก่อเหตุลักทรัพย์ตู้เซฟในบ้านผู้พิพากษาที่ จ.นครปฐม เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา ก่อนที่จะขยายผลเข้าค้นบ้านเลขที่ 18/545 ซอย4 ถนนบรมราชินีนาถ เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร พบของกลางเป็นทองรูปพรรณ สร้อย นาฬิกา ได้หลายรายการนั้น ความคืบหน้าเมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 8 ม.ค. พล.ต.ท.สุวิระ ทรงเมตตา รักษาราชการแทนที่ปรึกษา สบ.10 พร้อมกำลังตำรวจ สน.บางพลัด เข้าจับกุม นางสาวกาญจนา ประสงค์เสรีนนท์ และนายชัชวาล เหล้าวรรณะ เจ้าของบ้านเลขที่ 18/545 ซอย 4 ถนนบรมราชชนนี เขตบางพลัด ที่เป็นโรงงานรับแปรรูปเครื่องเพชรและทองรูปพรรณ หลังพบ 4 ผู้ต้องหา ชาวโคลัมเบีย นำทรัพย์สิน ทั้งทองรูปพรรณ เครื่องเพชร และพระเครื่อง ที่ได้จากการลักทรัพย์ บ้านพักของผู้พิพากษา ในจังหวัดนครปฐมเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2559 ไปขายให้โรงงานดังกล่าว โดยเมื่อช่วงสายวานนี้ขณะเข้าตรวจค้นตามคำให้การของผู้ต้องหา พบว่านางสาวกาญจนา และนายชัชวาล มีอาการและให้การพิรุธ จนได้รับการยืนยันจากผู้เสียหายว่ามีทรัพย์สินบางส่วน ที่ถูกลักทรัพย์ไปอยู่ในโรงงานดังกล่าว วันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำกำลังพร้อมหมายจับและพาผู้เสียหาย เข้าตรวจค้นขยายผลและชี้จุดที่เกิดเหตุอีกครั้ง พล.ต.ท.สุวิระ เปิดเผยว่า ในวันนี้เป็นการเข้าตรวจค้นโรงงานที่ผลิตเครื่องประดับที่เป็นทองคำและเพชร ชื่อร้านปิ่นเพชร จากการตรวจสอบแล้วพบว่าของกลางที่กลุ่มคนร้ายแก๊งโคลัมเบียโจรกรรมมาได้ถูกส่งมาขายที่นี่ แล้วก็ที่นี่เป็นโรงงานในการแปรรูปทองรูปพรรณให้เป็นทองก้อนแล้วก็นำเพชรไปทำเฟอร์นิเจอร์อื่นออกขาย วันนี้จึงได้ทำการจับกุม 2 สามีภรรยาเจ้าของโรงงานและเจ้าของร้านปิ่นเพชรดำเนินคดี พร้อมทั้งยึดของกลางบางส่วนที่เหลือที่ยังทำการหลอมไม่ทันและบางส่วนที่หลอมเป็นรูปพรรณอื่นแล้ว รวมทั้งบางส่วนที่แปลงเป็นเครื่องประดับอื่นไปแล้ว แต่ว่านำทองคำและเพชรมาจากของกลางในคดีนี้ พล.ต.ท.สุวิระ กล่าวอีกว่า ตัว 2 สามีภรรยาเจ้าของโรงงานนั้นเชื่อมโยงกับกุมคนร้ายอย่างใกล้ชิดทั้งในเรื่องการติดต่อสื่อสาร ทั้งเรื่องการตกลงซื้อขายกัน ทรัพย์สินที่โจรกรรมมาทุกล็อตของโคลัมเบียแก๊งนี้จะนำมาส่งให้ที่นี่ ซึ่งตำรวจมีหลักฐานที่ชัดเจน มีรูปถ่ายขณะทำการซื้อขายกัน ทรัพย์สินที่โจรกรรมมาก็ยังพบว่าอยู่ครบถ้วนในบางส่วน บางส่วนก็ถูกแปรสภาพไปแล้ว ซึ่งในส่วนนี้เจ้าของโรงงานรับสภาพว่าได้ทำการหลอมแล้วแปรสภาพไปแล้วบางส่วนเราจึงยึดทั้งส่วนที่แปรสภาพและส่วนที่ยังไม่แปรสภาพซึ่งมีมูลรวมไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท แล้วก็ยังมีของกลางที่เป็นทองรูปพรรณ พระเลี่ยมทองที่แก๊งโคลัมเบียนำมาขายให้ที่นี่ แล้วทำการแกะพระออกแล้วหลอมกรอบทั้งหมด ก็ขอให้ผู้เสียหายมาดูของกลางได้ที่ สภ.โพธิ์แก้ว จ.นครปฐม เพราะขณะนี้ยังมีของกลางอีกหลายร้อยรายการที่ยังไม่มีผู้เสียหายมายืนยันเป็นเจ้าของ ซึ่งหลังจากนี้จะทำการขยายผลไปยังร้านรับซื้ออื่นๆอีกต่อไป "พฤติการณ์ของคนร้ายแก๊งโคลัมเบีย จะใช้วิธีกดกริ่งตามบ้านพักหรูๆ หากพบว่าไม่มีผู้อยู่อาศัยจะดำเนินการเข้าโจรกรรมโดยพุ่งเป้าไปที่ตู้เซฟ ก่อนจะยกมาทำการตัดตู้และนำทองรูปพรรณ และเครื่องเพชร หรือพระเครื่อง ที่มีการทำกรอบทองหรือกรอบเพชร มาขายให้กับผู้ต้องหา ทั้ง 2 โดยในคดีของบ้านพักผู้พิพากษา ผู้ต้องหาทั้ง 2 รับซื้อทรัพย์สินมูลค่ารวมกว่า 5 ล้านบาท ในราคาเพียง 4 แสน 5 หมื่นบาท ก่อนที่ผู้ต้องหาทั้ง 2 จะทำการแปรสภาพทรัพย์สินที่รับซื้อมา เพื่อเตรียมนำไปขายต่ออีกทอด โดยจากข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พบว่าผู้ต้องหาทั้ง2 มีการรับซื้อกับกลุ่มผู้แก๊งโคลัมเบียไม่น้อยกว่ากว่า 4 ครั้ง โดยขณะนี้ยังไม่พบว่ามีคนไทยร่วมในการโจรกรรมกับแก๊งโคลัมเบีย แต่มีเพียงคนไทยที่ให้ข้อมูลและประสานในการนำทรัพย์สินที่ได้มาจากการโจรกรรมมาขายต่อตามแหล่งต่างๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการขยายผล" พล.ต.ท.สุวิระ กล่าวต่ออีกว่า ส่วนสมาชิกแก๊งโคลัมเบียขณะนี้ยังมีอีก 2 คนที่อยู่ระหว่างการหลบหนี แต่จากการตรวจสอบแล้วแก๊งโคลัมเบียมีอยู่หลายกลุ่ม ขณะนี้หลบหนีหมายจับของประเทสไทยมีประมาณ 139 คน ส่วนใหญ่มีประวัติต้องโทษทางคดีมาก่อน เมื่อพ้นโทษแล้วก็ถูกผลักดันออกนอกประเทศแต่ก็จะทำพาสปอร์ตใหม่แล้วกลับเข้ามาประเทศไทยอีกครั้งเพื่อก่อเหตุ เพราะฉะนั้นแก๊งโคลัมเบียในประเทศไทยในขณะนี้อยู่ในภาวะที่ต้องใช้มาตรการเด็ดขาดในการสกัดกั้นและปราบปราม ด้านนางสาวลัคนา แซ่ตั้ง ภรรยา ของนายนพรัตน์ บุญจร ผู้พิพากษา หัวหน้าศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เจ้าของทรัพย์สินที่ถูกกลุ่มคนร้ายโคลัมเบียโจรกรรมมาขายยังโรงงานแปรรูปดังกล่าว กล่าวว่า ดีใจเมื่อทราบว่าเจ้าหน้าที่จับกลุ่มคนร้ายและติดตามทรัพย์สินคืนได้บางส่วน โดยในวันนี้หลังจากเข้าตรวจสอบทรัพย์สินภายในโรงงานดังกล่าวก็พบว่าทรัพย์สินหลายชิ้น ถูกแปรสภาพไปจากเดิมแล้ว ซึ่งส่วนตัวรู้สึกเสียใจเพราะทรัพย์สินทั้งหมด ได้มาจากการทำงานเก็บออมและมาจากมารดาที่ให้ไว้ในวันสำคัญต่างๆ โดยส่วนตัวจากเหตุการณ์นี้ทำให้ได้อุทาหรณ์ว่า ไม่ควรเก็บทรัพย์สินของมีค่าต่างๆไว้เป็นจุดเดียวและไม่ควรเก็บทรัพย์สินที่มีค่มากๆไว้ภายในบ้านพัก เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาในข้อหาร่วมกันรับของโจร ประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำการซื้อขายของเก่าโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีรายการบัญชีซื้อขายของเก่า พร้อมให้พนักงานสอบสวนสภ.โพธิ์แก้ว ส่งเรื่องถึง สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง.ตรวจสอบหาที่มาของทรัพย์ทั้งหมด เพราะจากข้อมูลของพบว่าผู้ต้องหาทั้ง2ยังมีทรัพย์สินเป็นบ้านเรือนไทยขนาดใหญ่ใน อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี และทรัพย์สินอื่นๆอีกจำนวนมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องตรวจสอบว่าการได้มาของทรัพย์สินทั้งหมดมาอย่างถูกต้องตามกฏหมายหรือไม่หากได้มาอย่างไม่ถูกต้อง ต้องดำเนินการยึดทรัพย์ เพื่อนำทรัพย์เข้าสู่แผ่นดินและคืนให้กับเจ้าทรัพย์ต่างๆ พร้อมพิจารณาแจ้งข้อหาฟอกเงินกับผู้ต้องหาทั้ง2 ด้วย