นายกฯบินถกผู้นำซาอุฯ คุยเปิดน่านฟ้าขนแรงงานไทยกลับประเทศ ขณะที่แรงงานไทยล็อตสี่ 130 ชีวิต กลับสู่มาตุภูมิอย่างปลอดภัย  เศร้า! แรงงานไทยเสียชีวิตเพิ่ม อีก 1 ถูกจับเป็นตัวประกัน1 คน รับสถานการณ์อยู่ในขั้นวิกฤติ เร่งหาเที่ยวบินเพิ่ม

 ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 16 ต.ค.66 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการเดินทางไปประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Cooperation: BRF) ครั้งที่ 3 ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน และการประชุมสุดยอดอาเซียนคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (ASEAN-GCC Summit) ครั้งที่ 1 ที่ซาอุดีอาระเบีย ระหว่างวันที่ 16-22 ต.ค. จะใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวพูดคุยขอความช่วยเหลือแรงงานไทยในอิสราเอลที่ต้องการจะเดินทางไทยด้วยหรือไม่ ว่า มีผู้นำหลายคนไป จะใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวและอย่างที่ทราบกันดีต้องอาศัยการทูต ทั้งช่องทางที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ซึ่งในโอกาสที่จะพบผู้นำหลายประเทศครั้งนี้จะมีการพูดคุยกันในเรื่องนี้ และเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้นำประเทศทุกคนให้ความสำคัญ และเป็นห่วงเป็นใยจริงๆ อยากให้ทุกอย่างจบได้ด้วยดี นอกจากนี้ ยังเป็นเรื่องของการค้าและทางการทูตอีกหลายอย่างที่เรามีแผน ตารางแน่นเอี๊ยด 
    
  เมื่อถามว่า เครื่องของกองทัพอากาศที่จะบินไปช่วยคนไทยที่อิสราเอล เวลานี้มีข้อคิดเห็นในเรื่องของการต้องบินอ้อม ไม่สามารถบินตรงได้ ขณะที่เกาหลีใต้สามารถบินตงรได้ สะท้อนว่าทางการทูตเราด้อยกว่าหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่น่าใช่ และตรงนี้ยังไม่ได้รับข้อมูลมา  เมื่อถามอีกว่า ได้รับรายงานความคืบหน้าการประสานความช่วยเหลือคนไทยจากอิสราเอลอย่างไรบ้าง นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังเลย เพราะตอนนี้เป็นเวลาประมาณ 6-7 โมงเช้าของที่อิสราเอล คิดว่าบ่ายวันเดียวกันของประเทศไทยคงมีรายงานมา ก่อนขึ้นเครื่อง 1 ชั่วโมง 30 นาที ตนจะแถลงอีกรอบ
    
 เมื่อถามถึงกรณีที่ไม่สามารถบินผ่านเส้นทางของซาอุดิอาระเบียได้ การเดินทางไปเยือนครั้งนี้จะใช้โอกาสพูดคุยขอความช่วยเหลือในเรื่องนี้หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เป็นข้อเสนอแนะที่ดี และคิดว่าคงต้องคุย โดยตนจะได้เจอ เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบีย คงจะได้เจรจากันหลายเรื่อง
    
 ต่อมา นายเศรษฐา  ให้สัมภาษณ์ที่ห้องรับรองพิเศษ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อีกครั้ง ก่อนเดินทางไปสาธารณรัฐประชาชนจีน  ว่า ขณะนี้มีแรงงานไทยถูกจับเป็นตัวประกันเพิ่มอีก 1 คน และเสียชีวิตเพิ่มอีก 1 คน ซึ่งสถานการณ์ไม่ได้เบาบางลงไปยังอยู่ในขั้นวิกฤติเหมือนเดิม และเที่ยวบินที่รับแรงงานไทยกลับล่าสุดได้รับแจ้งว่าจะเดินทางกลับ แต่ไม่สามารถเดินทางมาได้ 6 คน ซึ่งไม่สามารถติดต่อได้ คาดว่าจะอยู่ในพื้นที่สุ่มเสี่ยง จึงยังไม่สามารถเดินทางออกมาได้  โดยกระทรวงการต่างประเทศจะมีการประชุมในวันเดียวกันนี้ เวลา 16.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ตนเดินทางถึงกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ก็จะทราบความคืบหน้า จึงได้สั่งการไปว่าให้หาเที่ยวบินเพิ่มมากขึ้น เพื่ออพยพคนทั้ง 7,000 คน ให้ได้ภายในสิ้นเดือนพ.ย.นี้ 
    
 ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องตัวประกันขณะนี้มีสัญญาณบวกหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ยังไม่มี ก็จะพยายามทำทุกวิถีทาง  แต่มีความคืบหน้าที่ดีขึ้นในแง่ของการเจรจา  เมื่อถามว่า สถานการณ์การสู้รบยังยืดเยื้อขณะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตของคนไทยก็เพิ่มขึ้น  นายกฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่ากังวลอยู่ จึงได้สั่งการให้นำคนของเราออกมาโดยเร็วที่สุด ส่วนเรื่องอื่นเป็นเรื่องรอง  ขณะที่เรื่องการช่วยตัวประกันก็เป็นเรื่องที่สำคัญเท่าเทียมกัน
     
เมื่อถามถึงกรณีที่พบว่านายจ้างบังคับให้แรงงานทำงาน แม้จะอยู่ในภาวะสงคราม นายกฯ กล่าวว่า ขณะนี้ไม่มีแล้ว และเรื่องนี้ได้เงียบหายไปแล้ว เราได้มีการสั่งการไปเรียบร้อยแล้ว  พร้อมประสานเอกอัครราชทูตอิสราเอล ประจำประเทศไทย ว่าเรื่องนี้เรารับไม่ได้ ขออย่าให้มีเรื่องนี้เกิดขึ้นเลย เพราะเป็นเรื่องของความเป็นความตาย จะมาบังคับทำงานไม่ถูกต้อง ซึ่งเอกอัครราชทูตอิสราเอลฯก็รับปากจะดูแลเรื่องนี้ให้
    
 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครื่องบิน A-340-500 ของกองทัพอากาศ เที่ยวบิน RTAF218 ETA บินออกจากสนามบินนานาชาติ Ben Gurion อิสราเอล นำแรงงานไทยจำนวน 130 คน มุ่งหน้าสู่ท่าอากาศยานกองบิน 6 ดอนเมือง ประทศไทย ในเวลา 06.50 น. ของวันที่ 16 ต.ค.66 โดยมี นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ให้การต้อนรับ แรงงานไทยพร้อม นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน และเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
    
 นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า รมว.แรงงานห่วงใยแรงงานไทยที่ได้รับผลกระทบจากเหตุความไม่สงบในอิสราเอลและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด โดยวันนี้ตนได้มอบหมาย นายนันทชัย  ปัญญาสุรฤทธิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ให้ดูแลแรงงานไทยจำนวน 130 คน (ชาย 127 คน หญิง 2 คนและเด็ก 1 คน) ที่เดินทางกลับมาพร้อมกับเครื่องบินกองทัพอากาศ แอร์บัส A340-500 ซึ่งกลับจากการส่งทีมข้าราชการ เจ้าหน้าที่ที่ร่วมเดินทางไปปฏิบัติภารกิจในการอพยพแรงงานไทยที่อิสราเอล พร้อมกับนำเครื่องอุปโภคบริโภค จากประเทศไทยไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย
    
 โดยแรงงานไทยกลุ่มนี้ถือเป็นแรงงานชุดที่ 4 ที่ได้แจ้งความประสงค์ไว้กับสถานทูตฯ และเดินทางถึงท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ประเทศไทย ในช่วงเวลา 06.48 น. ของวันนี้ กระทรวงแรงงานจึงจัดเจ้าหน้าที่ตั้งโต๊ะให้คำแนะนำเรื่องการรับสิทธิประโยชน์จากกองทุนเพื่อช่วยเหลือแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ เพื่อให้แรงงานไทยที่กำลังลำบากสามารถรับเงินสิทธิประโยชน์โดยเร็วที่สุด
     
  แรงงานไทยที่เป็นสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานต่างประเทศ และอยู่ในความคุ้มครอง มั่นใจได้เลยว่าเบื้องต้นมีสิทธิ์รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนฯ กรณีประสบปัญหาต้องเดินทางกลับประเทศไทยเนื่องจากภัยสงคราม รายละ 15,000 บาท อย่างแน่นอน หรือกรณีที่มีการรับรองจากแพทย์ว่าทุพพลภาพ จะได้รับการสงเคราะห์ เป็นจำนวน 30,000 บาท หรือกรณีเสียชีวิตในต่างประเทศ จะสงเคราะห์จำนวน 40,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการจัดการศพในต่าง ประเทศเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 40,000 บาทด้วย 
    
 นอกจากนี้ ประเทศอิสราเอลยังมีสวัสดิการตามกฎหมาย (ประกันการทำงาน + นายจ้างจ่าย) กรณีบาดเจ็บ/ พิการตามการรับรองของแพทย์ แบ่งเป็นบาดเจ็บ 10-19% ได้รับเงินก้อนเดียว ประมาณ 1,440,000 บาท บาดเจ็บเกิน 20% ได้รับเงินเดือนทุกเดือน จนกว่าจะเสียชีวิต โดยประเมินจากความสูญเสีย กรณีเสียชีวิต ภรรยาและบุตร ได้รับเงินเดือนทุกเดือน จนกว่าภรรยาจะแต่งงานใหม่ และบุตรอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ (ภรรยาเป็นเงิน 34,560 บาทต่อเดือน /บุตร เป็นเงิน 5,760-11,520 บาทต่อเดือน) ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าว
   
  นายสันติ นันตสุวรรณ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า สำหรับแรงงานไทยที่เป็นสมาชิกกองทุนฯ สามารถยื่นเอกสารหลักฐานเพื่อรับสิทธิประโยชน์จากกองทุนฯ ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดที่อยู่ในภูมิลำเนา โดยเบื้องต้นต้องเตรียมเอกสาร ได้แก่ สำเนาบัตรสมาชิกกองทุนฯ (ถ้ามี) สำเนาหนังสือเดินทาง (ทุกหน้าที่มีข้อมูลและมีตราประทับ ถ้าไม่ได้ประทับตราวันที่กลับเข้าไทยให้แนบสำเนาบัตรโดยสารเครื่องบินวันที่เดินทางกลับเข้าประเทศไทย) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาใบอนุญาตทำงาน หรือ สำเนาบัตรวีซ่าทำงาน สำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคารของผู้ยื่นคำร้อง (ธนาคารใดก็ได้ พร้อมกรอกแบบฟอร์ม KTB Corporate Online) เป็นต้น โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน 1694 กรมการจัดหางาน