"นายกฯ"ย้ำนำคนไทยกลับประเทศเป็นหน้าที่รัฐบาล ยันบริหารจัดการได้ พร้อมยกระดับการเจรจาเพื่อประโยชน์ของไทย ด้าน"คณะที่ปรึกษาวันนอร์" แถลงข่าวพบแกนนำกลุ่มฮามาสที่อิหร่าน เผยฮามาสดูแลตัวประกันเป็นอย่างดี พร้อมปล่อยตัวแต่ไม่ระบุวันเวลาเกรงอาจถูกโจมตี "วันนอร์" เตรียมบินไปอิหร่านรับคนไทยกลับ 

     เมื่อวันที่ 1 พ.ย.66 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ ว่า เรื่องเที่ยวบินนำแรงงานกลับไทยนั้น เป็นหน้าที่ของรัฐบาล หากประชาชนแสดงเจตจำนง ความประสงค์ที่จะเดินทางกลับประเทศไทย รัฐบาลต้องจัดการเรื่องเที่ยวบินให้เหมาะสม โดยขณะนี้สถานการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลง พร้อมกันนี้ช่วงบ่ายจะมีการพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีอิสราเอลผ่านโทรศัพท์ จะมีการยกระดับการเจรจาขึ้นในเรื่องของผลประโยชน์ การจ่ายเงินชดเชย นายจ้างไม่ให้ความเป็นธรรม และต้องอำนวยความสะดวกให้กับคนไทยที่จะเดินทางกลับ พร้อมทั้งวอนให้แรงงานไทยในอิสราเอลเดินทางกลับประเทศไทย เพราะตอนนี้รัฐบาลสามารถบริหารจัดการได้ ตามที่รัฐบาลเคยให้คำมั่นว่าจะนำแรงงานไทยกลับมาทั้งหมด แต่คนที่แสดงเจตจำนง ความประสงค์ที่จะกลับมาก็ยังมีน้อยอยู่ ส่วนเรื่องของตัวประกัน เรายังมีการเจรจาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่อยากให้คาดหวังเกินไป ขอให้ติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด

 ที่อาคารรัฐสภา นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร นายมุข สุไลมาน เลขานุการประธานสภาฯ ร่วมแถลงข่าวเกี่ยวกับการเจรจาช่วยเหลือตัวประกันคนไทย จากสถานการณ์ความไม่สงบในอิสราเอล โดย นายอารีเพ็ญ กล่าวว่า ในฐานะเป็นที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร และคณะ ได้เดินทางไปพบตัวแทนที่ประเทศอิหร่าน เมื่อวันที่ 26 ต.ค.66 ได้พบกับแกนนำของกลุ่มฮามาส และตัวแทนจากอิหร่าน แต่ไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ ซึ่งใช้เวลาพูดคุย 2 ชั่วโมง โดยกลุ่มฮามาส เข้าใจว่าการมาครั้งนี้มาในนาม ประธานรัฐสภาของประเทศไทย และความรู้สึกของมุสลิมด้วยกันเพื่อขอให้ปล่อยตัวคนไทย เนื่องจากไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามครั้งนี้

 กลุ่มฮามาสบอกว่า ตัวประกันได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ไม่เดือดร้อน แต่ไม่สามารถกำหนดวัน และเวลาที่จะปล่อยตัวได้ เนื่องจากอาจเกิดเหตุอันตราย จากการโจมตีของอิสราเอลขึ้นได้ กลุ่มฮามาสหวังอยากให้ตัวประกันเหล่านี้บอกกับสังคมโลกว่าอยู่กับฮามาสโหดร้ายจริงหรือไม่ จึงพยายามเพื่อให้คนไทยอยู่อย่างปลอดภัยและกลับไปอยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข

 นายอารีเพ็ญ กล่าวว่า ได้มอบรายชื่อให้คนไทยที่ถูกจับไปเป็นตัวประกันแล้วทั้ง 22 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการยืนยันกับทางการอิหร่านว่ารายชื่อตรงกันหรือไม่ จากนั้นเมื่อวันที่ 29 ต.ค.66 ได้เข้าพบกับ อยาตุเลาะ อัดตารี ที่ปรึกษาประธานาธิบดี และประธานสมัชชาองค์กรปาเลสไตน์ แห่งสำนักประธานาธิบดีอิหร่าน ดร.ระมีฮียาน เลขาธิการใหญ่องค์การช่วยเหลือประชาชาติปาเลสไตน์แห่งชาติ ดร.รูวัยรอน ประธานสมาพันธ์ พิทักษ์เยาวชนปาเลสไตน์ และต่อต้านอิสราเอลแห่งชาติ ใช้เวลาพูดคุย 3 ชั่วโมง ซึ่งได้มีการรับปากว่า จะให้ความช่วยเหลือ เพราะประเทศไทยมีคุณอนันต์ต่อมุสลิมทั่วโลกที่อยู่ประเทศไทย และประเทศอิหร่านก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศไทย

 "นอกจากนี้ ทราบว่ามีการรายงานเรื่องดังกล่าวต่อประธานาธิบดีอิหร่าน จากนั้นได้มีหนังสือไปยังบุคคลสำคัญของอิหร่าน 4 คน พร้อมกับประสานไปยังรัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านและได้เข้าพบกับหัวหน้าของกลุ่มฮามาส แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดของการพูดคุย ไม่ได้มีการพูดคุยกับคนไทยที่ถูกจับเป็นตัวประกัน เนื่องจากคลื่นโทรศัพท์หากมีการใช้ก็จะมีการยิงระเบิดเข้าทันที ทางกลุ่มฮามาสได้เชิญเราให้เข้าไปพบตัวประกัน แต่เราไม่เข้าไปเพราะเกรงว่าจะเกิดอันตราย ส่วนกรอบเวลาที่จะปล่อยตัวคาดว่าจะเร็วที่สุด เพราะความปลอดภัยของภาวะสงคราม ถ้าบอกว่าจะปล่อยเมื่อไหร่ ระเบิดจะลงทันที อาจทำให้สังคมโลกมองว่ากลุ่มฮามาสทำร้ายตัวประกัน คิดว่าการปล่อยตัวประกันคงไม่นานเกินรอ คณะประสานงานของประธานรัฐสภาก็ได้มี ประจำการอยู่ที่ประเทศอิหร่านเพื่อคอยประสานงานหากมีการปล่อยตัวคนไทยออกมา ประธานรัฐสภาก็จะเดินทางมารับด้วยตนเอง ถ้าหากปล่อยตัวที่ประเทศอิหร่านก็จะเป็นการสะดวก"

 นายอารีเพ็ญ กล่าวอีกว่า การทำหน้าที่ในครั้งนี้ ไม่ได้ข้ามหน้าข้ามตาใคร แต่เป็นการช่วยเหลือตามศักยภาพ การเดินทางไปประเทศอิหร่านนั้น เพราะประเทศอิหร่าน เป็นผู้มีอิทธิพลต่อขบวนการฮามาส เป็นแหล่งสำคัญที่สนับสนุนกลุ่มฮามาสเมื่อคนที่มีบุญคุณใหญ่หลวงขออะไรไปเขาก็น่าจะไม่ปฏิเสธ มีความเชื่อมั่นว่า สิ่งที่เข้าพูดคือความจริง เราเป็นกลุ่มแรกที่ไปพูดคุยกับกลุ่มฮามาสอย่างเป็นทางการ ถ้าหากคนไทยได้ปล่อยตัวก็เป็นผลงานของคนไทยทั้งหมด ไม่ใช่ผลงานของคนใดคนหนึ่ง จะไม่ก้าวก่ายรัฐบาลในการทำหน้าที่ เราทำหน้าที่ในตัวแทนประธานรัฐสภาเท่านั้น ที่เข้าไปพูดคุยโดยตรง

 ด้าน นายมุข กล่าวว่า ต้องให้เกียรติกลุ่มฮามาสว่าพูดความจริง เพราะถ้าจะมาพูดอย่างทำอย่าง ก็ไม่จำเป็นจะต้องให้เข้าพบตั้งแต่แรก ดังนั้นการให้เข้าพบก็แสดงว่ายินดีรับและพร้อมที่จะพูดความจริง นั่นคือตัวประกันคนไทยอยู่ในความปลอดภัยดีแล้ว เราต้องเชื่อในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และ นับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ที่ต้องยึดมั่นในศาสนาจึงจะไม่พูดโกหก ฝากสื่อและประชาชนเพราะมีการพูดโจมตีฮามาส ปาเลสไตน์ และอิหร่าน จึงอยากให้ฟังหลายฝ่ายเพื่อวิเคราะห์ความเป็นจริงว่าเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตามคงไม่สามารถยืนยันได้ 1,000 เปอร์เซ็นต์ หรือ10,000 เปอร์เซ็นต์

 "เชื่อว่าเมื่อวันที่คนไทยกลับมาปลอดภัยทั้งหมดคือคำตอบ และให้สังคมพิจารณาว่า คณะพูดคุยเดินทางถูกต้องแล้วหรือไม่ ถ้าท้ายที่สุดคนไทยไม่ถูกปล่อยตัว ก็จะได้รู้ว่า ที่ทำมาไร้ผลและไม่ถูกต้อง ขณะที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ดำเนินการอีกทางหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็ไม่สำคัญท้ายที่สุดคือ การนำคนไทยกลับมาเท่านั้นเอง"