กรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ผู้ร้อง) ส่งคำร้องขอให้พิจารณาวินิจฉัยกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อสารมวลชนใดๆ อยู่ในวันที่สมัครรับเลือกตั้งส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เป็นเหตุให้สมาชิกภาพส.ส. ของนายพิธา สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) หรือไม่ และศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องนี้ไว้พิจารณาวินิจฉัย และสั่งให้นายพิธา หยุดปฏิบัติหน้าที่ส.ส. นับแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2566 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

ซึ่งวันนี้ศาลรัฐธรรมนูญ ได้นัดไต่สวนพยานบุคคล และอนุญาตให้เฉพาะคู่กรณีและบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมรับฟังการไต่สวนเท่านั้น โดยมีการวางมาตรการอย่างเข้มงวด

เวลา08.40น. นายแสวง บุญมีเลขาธิการกกต.พร้อมคณะในฐานะตัวแทนของกกต.ได้เดินทางมาร่วมการไต่สวน โดยไม่ได้มีการให้สัมภาษณ์ใดๆ 

ต่อมาเวลา 09.10 น. นายพิธา และคณะ ซึ่งเดินทางมาพร้อมกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ 2 ใบ พร้อมให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าร่วมการไต่สวนว่า วันนี้ได้ถือโอกาสสื่อสารข้อเท็จจริง และมั่นใจในข้อเท็จจริง รวมถึงหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรมจากศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งประเด็นรายละเอียดของการชี้แจงขอเก็บไว้ชี้แจงในศาลรัฐธรรมนูญ แต่สิ่งที่เปิดเผยในเช้านี้และเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงต่อเรื่องที่มีการกล่าวหาคือ บริษัทไอทีวี ไม่ได้เป็นสื่อแล้ว ไม่ได้ประกอบกิจการมาตั้งแต่ปี50 และสื่อมวลชนก็รายงานว่ารายได้ทั้งหมดมาจากดอกเบี้ยในการลงทุน ดังนั้น เมื่อเทียบกับระบบยุติธรรมคำพิพากษาในอดีตก็ยืนยันได้ว่า ไอทีวีไม่ได้เป็นสื่อ ซึ่งตนพร้อมที่จะตอบคำถามอย่างละเอียดทั้งในแง่มุมของตัวบริษัทไอทีวีเอง และอาจจะมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของตนก็ได้ทบทวนข้อเท็จจริงแม้ว่ามันจะนานมาแล้วถึง16ปีตั้งแต่คุณพ่อเสียเมื่อปี 49 และไอทีวีหยุดประกอบกิจการเมื่อปี 50 ซึ่งก็มั่นใจว่าจะใช้โอกาสนี้ในการพูดเป็นครั้งแรก และถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี ซึ่งก็รอวันนี้มานาน

เมื่อถามถึงกระเป๋าเดินทาง 2 ใบเป็นหลักฐานที่เตรียมมาชี้แจงใช่หรือไม่นายพิธา ว่า  ครับ ในชั้นศาลก็จะมีหมายที่ทางศาลเรียก คือมีทั้งผู้ร้อง ผู้ถูกร้องและศาล และวัตถุพยานทั้งหลาย ขณะนี้ตนไม่มีข้อกังวลใดๆ ดีใจที่ได้มีโอกาสพูดและสื่อสารในมุมของเรา แน่นอนว่ากกต.ก็มีหน้าที่ของกกต. ส่วนของเราถ้าเขามีข้อสงสัยตรงไหนก็ยินดีที่จะตอบให้สิ้นข้อสงสัย