เหลืออีกเพียง 10 เดือนกว่าๆ เท่านั้น ก็จะได้ทราบแล้วว่า ใครจะเข้าสู่ทำเนียบขาว ไปนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

โดยจะเป็น “นายโจ ไบเดน” ที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธีบดีสองสมัยติดต่อกัน หรือ “นายโดนัลด์ ทรัมป์” ที่จะหวนกลับไปนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง หลังจากที่เขาเคยนั่งมาในระหว่างปี 2017 (พ.ศ. 2560) ถึงต้นปี 2021 (พ.ศ. 2564) ก่อนมีอันต้องกระเด็นตกจากเก้าอี้ไป เพราะพ่ายแพ้ให้แก่นายไบเดน ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่มีขึ้นเมื่อช่วงปลายปี 2020 (พ.ศ. 2563)

ด้วยประการฉะนี้ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายนปลายปีนี้ ก็จะเป็นการทำศึก “ล้างตา” สางแค้นของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ที่มีต่อประธานาธิบดีไบเดนจากพรรคเดโมแครต ท่ามกลางความคาดหมายจากบรรดาผู้สันทัดกรณีการเมืองของสหรัฐฯว่า การรณรงค์ต่อสู้ของทั้งคู่นั้นจะเป็นไปอย่างดุเดือด เข้มข้น

ว่ากันถึง การคาดการณ์จากฝ่ายต่างๆ ว่าใครน่าจะเป็นฝ่ายกำชัยในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น ปรากฏว่า บรรดาผู้นำทางธุรกิจที่เพิ่งเสร็จสิ้นการหารือ ในเวที “การประชุมเศรษฐกิจโลก” หรือ “เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม” ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ต่างก็พยากรณ์ฟันธงตรงกันเป็นเสียงเดียวว่า นายทรัมป์มีความเป็นไปได้สูง ที่จะได้กลับเข้าไปในทำเนียบขาว กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้อีกครั้ง ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกสมัย มากกว่าประธานาธิบดีไบเดน ที่อาจต้องกระเด็นตกจากเก้าอี้ไป ในการเลือกตั้งรอบนี้ โดยนายไบเดน ไม่น่าจะได้นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นสมัยที่สองติดต่อกัน

เหตุปัจจัยบวกอะไร ที่ทำให้บรรดาผู้นำทางธุรกิจ พากันแสดงทรรศนะออกมาเช่นนั้นต่ออดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ก็มาจากผลการเลือกตั้งขั้นต้นแบบคอคัส ที่รัฐไอโอวา ในการสรรหาตัวแทนพรรครีพับลิกัน ที่เพิ่งผ่านพ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานั่นเอง ซึ่งปรากฏว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลาย เหนือผู้สมัครคนอื่นๆ อันสะท้อนให้เห็นถึงคะแนนนิยมของอดีตประธานาธิบดีฝีปากกล้ารายนี้ได้เป็นอย่างดีว่ามีมากน้อยเพียงใด แม้ว่าเขาเผชิญกับคดีความต่างๆ ยาวเป็นหางว่าวรอเขย่าอยู่ในศาล

ถึงขนาดศาลฎีกา หรือศาลสูงสุดบางรัฐ อย่างศาลรัฐโคโลราโด ที่คณะผู้พิพากษา 3 ต่อ เสียง ลงมติตัดสิทธิทางการเมืองของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ห้ามลงเลือกตั้งกันเลยทีเดียว แต่ทว่า ก็หาได้เป็นอุปสรรคขวางกั้นต่อการชิงชัยในศึกเลือกตั้งต่ออดีตประธานาธิบดีทรัมป์ แถมมิหนำซ้ำเหล่ากองเชียร์ของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ยังเห็นว่า เป็นการกลั่นแกล้งกันทางการเมืองโดยพรรคฝ่ายตรงข้าม คือ เดโมแครต ที่ใช้อำนาจศาลมาเล่นงานอดีตผู้นำสหรัฐฯ จอมขวัญใจของพวกเขาด้วยซ้ำ

ขณะที่ ในส่วนของอดีตผู้นำประเทศคนสำคัญ ก็ได้ส่งเสียงเชียร์ออกมากันแล้วว่า จะสนับสนุนใครในสังเวียนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นนี้

ยกตัวอย่าง “นายบอริส จอห์นสัน” อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ก็ได้ส่งเสียงเชียร์ดังยิ่งกว่าใคร

โดยมีรายงานว่า อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษผู้มีทรงผมยุ่งผู้นี้ ออกมาเชียร์อดีตประธานาธิบดีทรัมป์อย่างออกนอกหน้า

ถึงขนาดเอ่ยปากออกมาว่า นี่แหละคือสิ่งที่โลกต้องการอย่างแท้จริง สำหรับ การได้กลับขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้งของนายทรัมป์

พร้อมกันนี้ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ยังระบุด้วยว่า เป็นสิ่งที่โลกต้องการ ซึ่งรอคอยมานานถึง 4 ปี หลังจากที่นายทรัมป์ ต้องกลายเป็นอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม 2021 (พ.ศ. 2564) เป็นต้นมา

โดยอดีตนายกรัฐมนตรีจอห์นสันแห่งอังกฤษ ยังแสดงทรรศนะด้วยว่า นายทรัมป์ จะมีวิธีการในการจัดการ “สงครามรัสเซีย-ยูเครน” ที่การสู้รบดำเนินมาจนจะครบเป็นปีที่ 3 ในปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้

แม้ว่าหลายฝ่ายมีความกังขาทั้งในเรื่องที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ เคยคุยโวโอ้อวดว่า หากเขาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็จะทำให้สงครามรัสเซีย-ยูเครนยุติลงภายใน 24 ชั่วโมง รวมถึงความคลางแคลงใจในประเด็นที่เขามีความสัมพันธ์ที่อบอุ่นแน่นแฟ้นกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ก่อไฟสงครามรัสเซีย-ยูเครน จากการสั่งการใช้กำลังทหารกับยูเครนก็ตาม

ทั้งนี้ นายจอห์นสัน อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เชื่อมั่นว่า หากนายทรัมป์ได้กลับเข้ามามีอำนาจในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็คงจะไม่ปล่อยให้ยูเครนถูกกองทัพรัสเซียฉีกเป็นริ้วๆ เป็นแน่

โดยเมื่อกล่าวถึงอดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษรายนี้ ก็ถือเป็นอดีตผู้นำประเทศรายหนึ่ง ที่ประกาศยืนเคียงข้างและให้การสนับสนุนต่อยูเครน สำหรับ สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่บังเกิดขึ้น ถึงขนาดที่เขาเดินทางไปเยือนยูเครน เพื่อเยี่ยมปลอบขวัญประเทศที่ได้ชื่อว่า “ตะกร้าขนมปังแห่งยุโรป” แห่งนี้ โดยเขาไปถึงพื้นที่ที่เป็นสมรภูมิรบ ตกเป็นเป้าถล่มของกองทัพรัสเซีย

เมื่อพูดถึงยุคสมัยของนายจอห์นสันครองเมืองนั้น ก็ต้องบอกว่า ร่วมยุค ร่วมสมัย คือ อยู่ในยุคสมัยเดียวกันกับนายทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยนายจอห์นสัน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีระหว่างช่วงปี 2019 – 2021 (พ.ศ. 2562-2564) ซึ่งเป็นเวลานาน 13 เดือน ที่เขาเป็นหนึ่งในผู้นำโลกร่วมยุคสมัยกับนายทรัมป์ ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จึงทำให้เขาคุ้นกันในระดับหนึ่ง ดังจะเห็นได้จากการที่บุคคลเข้าร่วมประชุมขององคกรระหว่างประเทศร่วมกันหลายครั้ง

ขณะที่ ในผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนชาวอเมริกันครั้งล่าสุด โดย “เมสเซนเจอร์” ร่วมกับ “แฮร์ริส” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็ปรากฏว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ มีคะแนนนิยมนำหน้าประธานาธิบดีไบเดน อยู่ 4 จุด คือ อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ มีคะแนนนิยมอยู่ที่ร้อยละ 46 ส่วนคะแนนนิยมของประธานาธิบดีไบเดนอยู่ที่ร้อยละ 42 แต่เมื่อสำรวจความคิดเห็นชาวอเมริกันที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงที่ไม่ฝักใฝ่พรรคการเมืองใด ปรากฏว่า นายทรัมป์ มีคะแนนนิยมที่ร้อยะ 46 ส่วนประธานาธิบดีไบเดนมีคะแนนนิยมที่ร้อยละ 35 ตามหลังถึง 11 จุดด้วยกัน