กำลังเป็นปัญหาหนักอก หนักใจ ของเหล่าบรรดากองเชียร์ทั้งฟากพรรคเดโมแครต และพรรครีพับลิกัน สองพรรคการเมืองใหญ่ ที่กำลังชิงชัยเพื่อครองทำเนียบขาว ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจะมีขึ้นในปลายปีนี้

เมื่อปรากฏว่า ตัวแทนผู้สมัครรับเลือกตั้งของทั้งสองพรรค ล้วนมีตำหนิ ข้อบกพร่อง แถมยังเป็นจุดตำหนิ ข้อบกพร่อง ที่ใหญ่เสียด้วย จนอาจจะส่งผลต่อการตัดสินใจของประชาชนชาวอเมริกันที่จะไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งที่จะมีขึ้น ด้วยความลังเลสงสัยในตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งว่า มีความเหมาะสมหรือไม่ ที่จะมาเป็นประธานาธิบดีของพวกเขา

โดยในส่วนของพรรคเดโมแครตนั้น ก็เป็นผู้สมัครฯ คนสำคัญอย่าง “นายโจ ไบเดน” ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ซึ่งประชาชนชาวอเมริกันทั่วไป หรือแม้แต่ผู้ที่เป็นกองเชียร์ ให้การสนับสนุนต่อพรรคเดโมแครตเอง ก็ยังคลางแคลงใจปนความวิตกกังวลต่อสุขภาพของเขา เนื่องด้วยประธานาธิบดีไบเดนผู้นี้ อายุอานามก็ปาเข้าไป 81 ปีแล้ว จะยังสามารถบริหารประเทศในฐานะประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ได้หรือไม่

ทั้งนี้ เพราะเมื่อกล่าวถึงสภาพการณ์ในปัจจุบัน ประธานาธิบดีไบเดน ก็ได้แสดงออกถึงความมีปัญหาด้านสุขภาพของเขาเผยให้เห็นออกมา

ไม่ว่าจะเป็นการสะดุดหกล้มอย่างง่ายๆ ทั้งจากการขับขี่รถจักรยาน หรือแม้กระทั่งการเดิน

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ (Photo : AFP)

นอกจากนี้ บ่อยครั้งที่ประธานาธิบดีไบเดน แสดงถึงการมีปัญหาในเรื่องความจำ ซึ่งถ้าว่าตามปกติทั่วไปของผู้ที่สูงวัยเช่นนี้ ก็ย่อมหลงลืมเป็นธรรมดา ส่งผลให้เป็นโจทย์ใหญ่ เป็นคำถามตัวโตๆ ออกมาว่า ประธานาธิบดีไบเดน ยังมีสุขภาพร่างกาย ตลอดจนความทรงจำต่างๆ ที่เหมาะสมกับการเป็นผู้นำประเทศที่ได้ชื่อว่า มหาอำนาจหมายเลขหนึ่งของโลก ต่อไปอีก 4 ปีหรือไม่?

โดยปัญหาเรื่องความทรงจำของประธานาธิบดีไบเดนนั้น ดูจะเป็นโจทย์ใหญ่ ปัญหาหนักอกของชาวพลพรรคเดโมแครตมิใช่น้อย หลังจากที่เกิดเป็นกรณีครึกโครมโด่งดังกันไปทั่วโลก

เมื่ออัยการพิเศษ “โรเบิร์ต เฮอร์” แห่งรัฐแมริแลนด์ แถลงเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ไม่สั่งฟ้องต่อประธานาธิบดีไบเดนในคดีที่เขาจัดเก็บเอกสารลับอย่างไม่เหมาะสม ซึ่งเอกสารลับที่ว่านั้น เป็นเอกสารในสมัยที่เขาดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ถูกนำไปเก็บไว้ในบ้านพักส่วนตัวและสำนักงานของเขาที่รัฐเดลาแวร์ โดยเจ้าหน้าที่เอฟบีไอของสหรัฐฯ บุกเข้าตรวจค้นจนพบเจอเมื่อปีที่แล้ว พร้อมกันนี้ อัยการพิเศษแห่งรัฐแมริแลนด์ ยังระบุถึงเหตุผลที่ไม่สั่งฟ้องด้วยว่า เพราะประธานาธิบดีไบเดนมีอายุมากแล้ว มีความจำไม่ดี จึงจัดเก็บเอกสารอย่างไม่เหมาะสม

นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้ก็ได้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องปัญหาความทรงจำของประธานาธิบดีไบเดน จากกรณีที่เขาจำไม่ได้ว่า นายโจเซฟ ไบเดน บุตรชายคนโตของเขาเสียชีวิตในปีใด

อย่างไรก็ตาม ประเด็นเรื่องปัญหาความทรงจำนั้น ได้สร้างความไม่พอใจให้แก่ประธานาธิบดีไบเดนเป็นอย่างมาก ถึงขนาดออกมาตอบโต้อัยการพิเศษ “โรเบิร์ต เฮอร์” ว่า เขายังมีความทรงจำดีอยู่

ทว่า เกี่ยวกับเรื่องอย่างนี้ มีหรือที่ “นายโดนัลด์ ทรัมป์” อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะปล่อยผ่านไปอย่างง่ายๆ โดยเขาได้หยิบยกเรื่องที่ประธานาธิบดีไบเดนมีปัญหาด้านความทรงจำ มาโจมตีทันที ในระหว่างที่เขาไปรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งที่เมืองคอนเวย์ รัฐเซาท์แคโรไลนา ในอีกวันสองวันถัดมา โดยระบุว่า นายไบเดน ไม่เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เพราะด้อยสติปัญญา มีปัญหาเรื่องหลงๆ ลืมๆ

อย่างไรก็ดี เมื่อกล่าวถึงในเรื่องสุขภาพนี้ ประชาชนชาวอเมริกันทั่วไป พร้อมทั้งพลพรรครีพับลิกัน ก็เป็นห่วงในเรื่องสุขภาพของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ด้วยเหมือนกัน เพราะเขามีอายุมากถึง 77 ปี เรียกว่า ห่างกับประธานาธิบดีไบเดนเพียง 4 ปี ซึ่งอายุสูงวัยขนาดนี้ ก็ย่อมต้องมีปัญหาสุขภาพเป็นธรรมดา

เรียกได้ว่า สองผู้สมัครฯ ทั้งเดโมแครต คือ ประธานาธิบดีไบเดน และทั้งรีพับลิกัน คือ อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ล้วนได้รับความกังวลในเรื่องสุขภาพของพวกเขาจากการที่สูงวัยแล้วทั้งสิ้น

โดยความวิตกกังวลต่อเรื่องสุขภาพของผู้สมัครฯ ทั้งสอง ก็แสดงออกผ่านทางโพลล์ หรือการแสดงความคิดเห็นของประชาชนชาวอเมริกัน ซึ่งโพลล์ดำเนินการสำรวจโดย “สำนักงานเอบีซีนิวส์” ร่วมกับ “อิปซอส”

ผลการสำรวจความคิดเห็น ระบุว่า กลุ่มตัวอย่างที่เป็นชาวอเมริกันทั่วไปไม่จำเพาะเจาะจงว่าเป็นพลพรรคของพรรคการเมืองใด จำนวนถึงร้อยละ 86 มีความคิดเห็นว่า นายไบเดน ซึ่งสูงวัยถึง 81 ปีแล้ว ต้องถือว่า “แก่เกินไป” ที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 เพราะมีปัญหาเรื่องสุขภาพต่างๆ ตามมาหลังจากนี้ก็เป็นได้

เมื่อถามถึงอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ทางกลุ่มตัวอย่างชุดเดียวกันนี้ จำนวนถึงร้อยละ 72 ก็เห็นว่า อดีตผู้นำฝีปากกล้ารายนี้ ก็ “แก่เกินไป” ที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามในกลุ่มตัวอย่างที่เป็นกองเชียร์ของแต่ละพรรค ปรากฏว่า กลุ่มผู้ให้การสนับสนุนพรรคเดโมแครต จำนวนถึงร้อยละ 73 เห็นว่า ผู้สมัครรับเลือกคนเก่งของพวกเขา คือ นายไบเดน แก่เกินไปที่จะนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต่ออีกสมัย ส่วนพลพรรครีพับลิกัน จำนวนร้อยละ 35 ที่เห็นว่า นายทรัมป์ แก่เกินไปที่จะหวนสู่ทำเนียบขาวในฐานะประธานาธิบดีของประเทศ

ในส่วนของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์นั้น นอกจากชาวอเมริกัน และพลพรรครีพับลิกัน มีความเป็นห่วงเรื่องสุขภาพเพราะสูงวัยแล้ว ก็ยังมีความกังวลเกี่ยวกับความมี “ฝีปากกล้า จนพาให้เกิดเรื่อง” ของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ รายนี้อีกด้วย

ไม่ว่าจะเป็นการที่เขาออกมาขู่ว่า จะขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีกกว่าร้อยละ 60 หากว่าได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง ซึ่งไม่ผิดอะไรกับการหวนก่อสงครามการค้าอีกคำรบ

รวมถึงเรื่องที่เขาขู่ต่อบรรดาชาติสมาชิกขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต ในภูมิภาคยุโรปว่า หากไม่จัดสรรเพิ่มงบประมาณด้านการทหารมาให้แก่องค์การนาโตตามที่ได้ตกลงกันไว้ร่วมกันคือร้อยละ 2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี โดยยังปล่อยให้ภาระของสหรัฐฯ เฉกเช่นที่ผ่านมานั้น หากว่าตนได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตนในฐานะประธานาธิบดีชาติผู้นำขององค์การนาโต ก็จะไม่ช่วยเหลือต่อชาติที่ไม่เพิ่มงบฯ เหล่านั้น หากถูกรัสเซียรุกราน แถมดีไม่ดี ตนนี้แหละจะเป็นคนไปสะกิดรัสเซีย ให้มาถล่มชาตินั้นๆ เองเลยก็ได้

นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อครั้งเข้าร่วมประชุมสุดยอดนาโต ที่กรุงลอนดอน เมืองหลวงของอังกฤษ เป็นเจ้าภาพ ในปี 2019 (พ.ศ. 2562) (Photo : AFP)

โดยแต่ละเรื่องที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์พ่นออกมา ล้วนทำให้ชาวอเมริกัน ตลอดจนกองเชียร์รีพับลิกัน ก็ยังเสียวไส้ หายใจไม่ทั่วท้อง