ทวี สุรฤทธิกุล

พรรคเพื่อไทยเพียรพยายามจะสร้าง “อภินิหาร” ด้วยประชานิยมที่น่าจะล้าสมัยและทุกคนรู้เท่าทันหมดแล้ว

ใน พ.ศ. 2545 ผู้เขียนได้รับว่าจ้างให้ไปทำงานเป็น “ที่ปรึกษา” ของประธานกรรมการบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) ที่ตั้งขึ้นเพื่อจัดการหนี้สินด้อยคุณภาพของธุรกิจต่าง ๆ ที่ได้ผลกระทบจากวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อ พ.ศ. 2540 หน่วยงานนี้เป็นหนึ่งในนโยบายด้านการเงินการคลังของรัฐบาลที่นำโดยพรรคไทยรักไทย ในหน่วยงานนี้ผู้เขียนจึงได้กระทบไหล่กับบรรดากุนซือบางคนของพรรคไทยรักไทย เมื่อเขาทราบว่าผู้เขียนเคยทำงานเป็นเลขานุการของท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เขาก็มาแสดงความยินดีและบอกว่าผู้เขียนคงจะสามารถช่วยองค์กรนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะงานนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับนักการเมือง ที่จะต้องเข้ามาใช้อิทธิพลเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ในการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ แต่เมื่อผู้เขียนทำงานไปสัก 5-6 เดือน ก็รู้ว่าเกินกำลังความสามารถ เพราะไม่สามารถรับมือกับนักการเมืองเหล่านั้นได้ จึงลาออกมา

อย่างไรก็ตามจากการที่ได้พูดคุยกับกุนซือของพรรคไทยรักไทยอยู่บ่อย ๆ จึงทราบว่านโยบายต่าง ๆ ของพรรคไทยรักไทยนั้นมีรากเหง้ามาจากนโยบายของพรรคกิจสังคมในปี 2518 นั้นอย่างแน่นอน คือเงินผันก็กลายมาเป็นกองทุนหมู่บ้าน คนจนรักษาฟรีก็มาเป็น 30 บาทรักษาทุกโรค และรถเมล์ฟรี รถไฟฟรี เป็นต้น ทั้งยังได้รู้อีกด้วยว่าพรรคไทยรักไทยกำลังจะทำนโยบาย “แจกเงินถ้วนหน้า” ผ่านระบบการให้เครดิตอัตโนมัติ โดยรัฐบาลจะออกบัตรเครดิตนี้ให้กับประชาชนไปรูดเงินซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ เหมือนกับที่ธนาคารต่าง ๆ ออกให้กับลูกค้า เพียงแต่ว่าของรัฐบาลจะเป็นการให้เปล่าและจำกัดวงเงิน เช่น อาจจะให้รูดได้ไม่เดินเดือนละ 2,000 บาท เป็นต้น ทั้งนี้ก็เพื่อกระตุ้นให้มีการใช้จ่ายของประชาชนให้มากขึ้น นัยว่าจะสามารถช่วยเพิ่ม GDP ในส่วนการบริโภคของประชาชนได้สูงขึ้น เป็นการชักจูงให้มีการลงทุนขยายธุรกิจต่าง ๆ ในประเทศมากขึ้น ให้ประเทศไทยมีธุรกิจใหญ่ ๆ ในหลาย ๆ ด้านเพิ่มมากขึ้น อันจะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการแข่งขันทางเศรษฐกิจกับนานาชาติ แต่พอผู้เขียนลาออกจาก บสท.มาก็ไม่ได้ยินเรื่องนี้อีก จนมาได้ยินเรื่องการแจกเงินดิจิตอลคนละ 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทยในตอนนี้ ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นประเด็นที่เชื่อมโยงกันได้

ผู้เขียนเชื่อว่านี่คือวิธีการที่พรรคเพื่อไทยที่อยู่ภายใต้ระบอบทักษิณ พยายามจะฟื้นฟู “อภินิหาร” ของระบอบทักษิณให้เกิดขึ้นอีกครั้ง โดยคนที่คิดตั้งแต่ตัวนักโทษชายทักษิณลงมาจนถึงคนในพรรคเพื่อไทยเชื่อว่า ด้วยการกระทำที่สร้างความเหลือเชื่อคือสามารถทำในสิ่งที่คนทั่วไปทำไม่ได้(หรือไม่คิดที่จะทำเพราะเป็นเรื่องที่มีทั้งปัญหาและข้อครหาต่าง ๆ) จะทำให้คนไทยต้อง “ลุ่มหลง” จนถึงขั้น “กราบกราน” ในความสามารถอันเหลือเชื่อเหล่านั้น ดังนั้นการคิดนโยบาย “ห่าม ๆ” แบบนี้จึงเป็นวิสัยของพรรคการเมืองที่ต้องการจะครองใจประชาชน ด้วยการสร้างความลุ่มหลงงมงายดังกล่าว แม้แต่ที่หลาย ๆ นโยบายก็ได้สร้างหายนะให้กับประเทศชาติเป็นจำนวนมหาศาล ก็ยังมีประชาชนที่เกิดความลุ่มหลงแล้วนั้นบอกว่า “คอร์รัปชั่นก็ดีที่ทำให้ประชาชนได้อะไรบ้าง”

ตอนนี้ความคิดที่จะแจกเงินดิจิตอล 10,000 บาท กำลังจะมีการเสนอเป็นพระราชบัญญัติเพื่อขอกู้เงินมาแจกประชาชนต่อไป ซึ่งก็มีผู้คนจำนวนหนึ่งบอกว่า นี่อาจจะเป็นวิธีหาทางลงให้กับนโยบายนี้ คือพรรคเพื่อไทยเองอาจจะยืมมือสภาที่เชื่อว่าน่าจะไม่ผ่านกฎหมายฉบับนี้ ให้ช่วยยกเลิกการกู้เงินในที่สุด (แต่ก็ต้องเสี่ยงกับการยุบสภาหรือรัฐบาลต้องลาออก เนื่องจากเป็นพระราชบัญญัติสำคัญตามรัฐธรรมนูญ และเป็นประเพณีในการปกครองในระบอบรัฐสภา ที่รัฐบาลแพ้กฎหมายก็ต้องลาออก) พร้อมนี้ยังมีข่าวอีกว่าพรรคเพื่อไทยเองก็มีนโยบาย “สร้างอภินิหาร” นี้เตรียมไว้อีก ที่เห็นว่าจะใช้ความซับซ้อนด้านเทคโนโลยีที่ประชาชนจำนวนมากยังรู้ไม่เท่าทันนี้ มามอมเมาประชาชนต่อไป

ถ้าท่านผู้อ่านได้ติดตามบทความชุดนี้มาตั้งแต่ต้น คงจะพอเห็นภาพได้แล้วว่า การใช้ประชานิยมด้วยการ “แจกแหลก” นี้เป็นวิธีการที่โบราณมาก ๆ รวมถึงที่ได้ทราบวิวัฒนาการของประชานิยมในประเทศไทย ก็จะเห็นว่านักการเมืองไทยยังไม่ได้ค้นคิดอะไรที่แปลกใหม่เลย ซ้ำร้ายกลับคิดแต่การแจกแหลกที่จะเอาชนะใจประชาชนให้ลุ่มหลงงมงาย เพียงเพื่อจะบอกประชาชนที่ไปเลือกตั้งว่า ถ้าเลือกพรรคนี้แล้วจะสามารถสร้าง “อภินิหาร” ทำอะไร ๆ ในประเทศนี้ก็ได้ แม้แต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้

ในขณะที่เขียนบทความนี้ นักโทษชายทักษิณถูกจำขัง “คุกทิพย์” มาแล้ว 85 วัน ท่ามกลางความสงสัยของผู้คนจำนวนมากว่า ถูกจำขังอยู่บนชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจ “จริงหรือไม่?” จนถึงขั้นมีการร่ำลือว่าในวันที่ 5 ธันวาคมที่จะถึงนี้ อาจจะมีการปล่อยตัวนักโทษชายคนนี้ ซึ่งแน่นอนว่าคงจะไม่มีใครสามารถให้คำอธิบายหรือข้อชี้แจงได้ว่า สามารถทำได้เพราะเหตุใด เพราะนักโทษชายคนนี้ยังมีคดีร้ายแรงติดตัวรอการพิพากษาอีกอย่างน้อย 3 คดี คือถ้าอภัยโทษให้ได้และออกมาอยู่ข้างนอกได้ ไปไหนมาไหนก็ได้ ก็คือมันผู้นั้นย่อมอยู่เหนือกฎหมายของประเทศนี้โดยสิ้นเชิง

ผู้เขียนเรียกกรณีการติดคุกทิพย์ของนักโทษชายทักษิณนี้ว่า “ความบัดซบแห่งชาติ”  เพราะส่งผลเสียหายอย่างร้ายในทุกระบบและทุกสถาบันของชาติ ที่แน่ชัดที่สุดก็คือกระบวนการยุติธรรม ที่มีการให้อภิสิทธิ์แก่คนที่มีความผิดร้ายแรงอย่างไม่อายฟ้าดิน พร้อมกันนั้นก็ “เหยียบศีรษะ” และ “กระทืบหัวใจ” ประชาชนที่รักความดีงาม เป็นการทำลายคุณธรรมในสังคม และสร้างค่านิยมให้กับการชื่นชม “ผู้มีอภินิหาร” เยี่ยงนั้น

“ผู้มีอภินิหาร” เยี่ยงนั้นก็คือ “ทำชั่วได้ทุกอย่าง” โดยที่ฟ้าดินก็เอาผิดและลงโทษไม่ได้ แถมยังมีชีวิตที่สุขสบาย มีครอบครัวที่เชิดหน้าชูตา มีบริวารที่มีเกียรติรายรอบ และประชาชนที่งมงายยังสรรเสริญเยินยอ