เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 21 เม.ย. ที่ สำนักงานสายไหมต้องรอด ซ.สายไหม 38 แขวงสายไหม เขตสายไหม กรุงเทพฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.พัชรี (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 44 ปี มารดาของนายเอ (นามสมมติ) อายุ 15 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นปีที่ 3 โรงเรียนแห่งหนึ่ง.เพชรบูรณ์ เข้าร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือและขอคำแนะนำกับนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด และในฐานะที่ปรึกษา รมว.มหาดไทย เนื่องจากเมื่อวันที่ 21 มี.ค. ลูกชายไปร่วมงานปัจฉิมนิเทศจบการศึกษาของทางโรงเรียน โดยมีคณะครูและผู้บริหารพานักเรียนไปร่วมงาน จากนั้นได้มีการพาเด็กนักเรียนไปที่หาดนางรำ จ.ชลบุรี เพื่อเล่นน้ำและพักผ่อน ต่อมาลูกชายเกิดอุบัติเหตุล้มหัวฟาดทรายคอหักขณะเล่นฟุตบอลบนหาดกับเพื่อน ๆ ทำให้ขยับร่างกายไม่ได้ ปากเขียว ก่อนไปเสียชีวิตที่ รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ต.พลูตาหลวง จ.ชลบุรี ในวันที่ 26 มี.ค. และจัดงานฌาปนกิจศพเมื่อวันที่ 31 มี.ค. ที่วัดแห่งหนึ่ง จ.เพชรบูรณ์ แต่เงินที่ได้รับการช่วยเหลือเยียวจากโรงเรียนกลับไม่เพียงพอหรือสมสัดส่วน

โดย มารดาของนายเอ กล่าวว่า สำหรับสาเหตุการเสียชีวิตของบุตรชายนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 มี.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากคณะครู ซึ่งเป็นโรงเรียนของลูกชายได้พาเด็กนักเรียนไปทำกิจกรรมปัจฉิมนิเทศที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โดยพานักเรียนไปด้วยรถบัส จำนวน 2 คัน ปรากฏว่าในวันเกิดเหตุ โรงเรียนได้พานักเรียนไปพักผ่อนเล่นน้ำทะเลที่หาดนางรำ จ.ชลบุรี จากนั้นในช่วงกลางวันตนได้รับโทรศัพท์จากลูกพี่ลูกน้องแจ้งว่าลูกชายประสบอุบัติเหตุสาหัสบนหาดนางรำ ขณะเล่นฟุตบอลชายหาดกับเพื่อน ๆ ก่อนกระโดดพุ่งหัวลงน้ำทะเลเพราะบทลงโทษ แต่ไม่มีใครรู้ว่าบริเวณดังกล่าวน้ำทะเลมันตื้นและทรายหนาแน่นจนทำให้ความเร็วและแรงที่ลูกชายพุ่งลงไป ศีรษะยาวไปลงถึงช่วงคอเกิดเหตุหักทันที และรับทราบเพียงแค่ว่าลูกชายขยับตัวไม่ได้ปากเขียวซีด ก่อนได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่กู้ภัยนำส่งร่างลูกชายไปรักษาที่ รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ต.พลูตาหลวง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ตนจึงรีบเดินทางจากอีกจังหวัดเพื่อไปเฝ้าอาการลูกชายด้วยความเป็นห่วง

น.ส.พัชรี กล่าวอีกว่า ตั้งแต่เกิดเหตุ ตนก็ได้เข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.พลูตาหลวง และ สภ.สัตหีบ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ได้สอบถามว่าตนติดใจสาเหตุการเสียชีวิตหรือประสงค์แจ้งความดำเนินคดีหรือไม่ ซึ่งตนก็ไม่ได้ติดใจเพราะคิดว่าเป็นอุบัติเหตุจริง ๆ เพราะเพื่อนๆของลูกชายที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ล้วนพูดตรงกันว่ามันเป็นอุบัติเหตุ อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ลูกชายนอนรักษาตัวที่ รพ. ปรากฏว่าในวันที่ 26 มี.ค. แพทย์แจ้งว่าชีพจรอ่อนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ และท้ายสุดเสียชีวิตลง จึงมีการเตรียมจัดงานศพให้ลูกชาย แต่ตนและครอบครัวไม่มีเงิน ทำมาหากินรายวัน ยากจน จึงได้สอบถามความช่วยเหลือไปที่โรงเรียนของลูกชาย แต่ในตอนแรกทางโรงเรียนกลับปฏิเสธและบ่ายเบี่ยงความช่วยเหลือเรื่องเงิน กระทั่งท้ายสุดตนต้องไปอ้อนวอนขอกู้เงินจากครูประจำชั้น จำนวน 40,000 บาท โดยแจ้งว่าหากได้เงินประกันอุบัติเหตุลูกชายของโรงเรียน จำนวน 100,000 บาท จะนำมาคืนให้ ซึ่งเงินประกันฯ ยังเบิกไม่ได้ เนื่องจากต้องเอกสารทางการแพทย์ทั้งใบรับรองแพทย์และใบชันสูตรศพ แต่เงินจำนวน 40,000 บาทนี้ก็ยังไม่เพียงพอ ตนจึงต้องไปกู้เงินนอกระบบมาอีก รวมเบ็ดเสร็จแล้วเป็นหนี้กว่า 60,000 บาท ขณะที่ทาง ผอ.โรงเรียน ได้ช่วยเหลือมา 12,000 บาท และทางโรงเรียนก็ได้ช่วยเรื่องขนมหรือดอกไม้ในงานศพลูกชาย แต่ตนก็มองว่ามันยังไม่เหมาะสมเพียงพอ ไม่ได้สัดส่วน เพราะตอนที่ใช้รถรับจ้างไปรับศพลูกชายย้ายจาก รพ. มาบ้าน ตนก็เสียเงินไปเอง 8,000 บาท เวลาเรียกร้องไปทางโรงเรียนเรื่องเงิน ทางโรงเรียนก็อ้างว่าเงินในซองก็จำนวนเยอะแล้ว โรงเรียนไม่ได้มีเงินงบประมาณในส่วนนี้ ตนแค่ขอให้กระดูกลูกชายได้บรรจุในโกศ เพราะตอนนี้ถูกฝังอยู่ในดิน ทางโรงเรียนก็ไม่ช่วยเหลือแล้ว เพราะแจ้งว่าได้ช่วยมาเยอะแล้ว

น.ส.พัชรี กล่าวต่อว่า หากย้อนไปในช่วงแรก ๆ สาเหตุที่ทำให้ตนไม่แจ้งความเอาผิดโรงเรียนและคณะครูก็เพราะว่ามีครูคนหนึ่งแจ้งว่าผู้บริหารระดับสูงของโรงเรียนระบุว่าหากผู้ปกครองไปดำเนินคดีกับโรงเรียน ทางโรงเรียนจะไม่ให้ความช่วยเหลือเรื่องเงิน และจะไม่ให้พักที่พื้นที่ของทหารระหว่างเฝ้าอาการลูก ตนจึงกลัว เพราะตนเป็นคนจน ไม่ได้มีเวลา อำนาจ หรือเงินจะไปวิ่งสู้คดีกับใคร นอกจากนี้ ยังมีครูบางคนซ้ำเติมตนด้วยว่าถ้าลูกของครูตาย ครูจะไม่เอาเงินสักบาท ตนมองว่าการพูดแบบนี้ไม่ถูกต้อง ทั้งนี้ ตนไม่ได้อยากดำเนินคดีกับใครเลย ขอเพียงแค่ความช่วยเหลือที่มันเหมาะสมกับลูกชายที่มีอนาคตอีกไกลและมีความต้องการอยากเข้าราชการ เพื่อเป็นเสาหลักของครอบครัวเลี้ยงดูจุนเจือ แต่ตอนนี้ เห็นแบบนี้ ตนคงต้องลุกขึ้นมาสู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับลูกชาย โดยตนจะกลับไปปรึกษากับครอบครัว พิจารณากลับไปแจ้งความดำเนินคดีกับคนที่เกี่ยวข้องต่อไป

ด้านนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด และในฐานะที่ปรึกษา รมว.มหาดไทย กล่าวว่า  จากกรณีที่เกิดขึ้น มันอยู่ในความรับผิดชอบภายใต้กระทรวงศึกษาธิการ ที่ตนมองว่าผู้ปกครองควรได้รับความช่วยเหลือมากกว่านี้ เพราะครอบครัวผู้ตายมีอาชีพหาเช้ากินค่ำ ไม่ได้มีเงินมาก แต่ถ้าโรงเรียนกลับช่วยเหลือเพียงยอดเงินจำนวนดังกล่าว และพยายามปฏิเสธบ่ายเบี่ยงว่าโรงเรียนไม่มีงบประมาณในการช่วยเหลืออีกต่อไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ตนจะสอบถามไปยังรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อสอบถามเรื่องงบประมาณในการช่วยเหลือเด็กและครอบครัวที่ประสบอุบัติเหตุในลักษณะดังกล่าวว่าจะมีเงินส่วนใดเข้ามาช่วยเหลือจุนเจือได้หรือไม่ เพราะงานปัจฉิมนิเทศที่เกิดขึ้นเป็นกิจกรรมที่โรงเรียนพาเด็กนักเรียนไป ดังนั้น โรงเรียนควรจะมีความรับผิดชอบมากกว่านี้หรือไม่ และตนก็จะปรึกษาประสานข้อมูลไปยังกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรมเพื่อดูในส่วนของเงินค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา แล้วถ้าหากคุณแม่ของน้องดีฟประสงค์จะกลับไปดำเนินคดีใหม่อีกครั้ง ก็ขอให้ทางคุณแม่ไปศึกษาข้อมูลรายละเอียดกับญาติพี่น้องให้เรียบร้อยก่อน ส่วนตนจะช่วยเหลือประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ให้.