ชัยวัฒน์ สุรวิชัย • Time Value คุณค่าของเวลา ( เรียบเรียง จาก damrong pinkoon ) เวลาเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างแท้ จริง ทำไม ประชาชน จึงมักพูดเสมอว่า “ ไม่มีเวลา “ เราทุกคนมีเวลาเท่ากัน เมื่อไหร ที่เราจะเริ่มทำงานหนัก เมื่อไหร ที่เราจะทำความฝันให้เป็นจริง เมื่ออายุ 20 ,30,40,50 , 60 , 80 ปี ? เราเสียเวลามากไปเท่าไร ที่เราไม่ได้ใช้ หรือ ทิ้งไป ที่ผ่านมา เราได้ใช้เวลาอย่างมีคุณค่าหรือไม่ ? เราจะทำอะไร ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ? • สำหรับคนที่รู้คุณค่าของเวลา เขาจะทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจและทำสุดความสามารถ สำหรับคนที่ไม่รู้คุณค่าของเวลา เขาจะใช้ชีวิตแบบเหลาะแหละ และไม่ใส่ใจในคุณค่าของชีวิต เมื่อเราได้ตระหนักรู้ การใช้ชีวิตให้ดีขึ้นอย่างไร เราจะรู้ถึงคุณค่าของเวลา ข้อแนะนำ ถ้าอะไรไม่มีคุณค่า เราควรจะหยุดทำทันที • เราจะแบ่งเวลาในชีวิตเป็น 4 ช่วง 1.ช่วงอายุ 0 -20 ปี เราต้องศึกษาหาความรู้ ถ้ามีความสามารถที่จะเรียน เราจะสอบให้ได้คะแนนที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในการศึกษา เป็นเพียงขั้นต้นของชีวิต ซึ่งมี 4 ช่วงของการวิ่งผลัด การเริ่มต้นที่ดี มีประโยชน์เสมอ แต่ไม่ได้เป็นหลักประกันความสำเร็จของชีวิต 2.ช่วงอายุ 20 - 40 ปี สำหรับช่วงที่สองของชีวิต เราต้องทำงานถึงครึ่งหนึ่งของชีวิต เมื่อเรารู้ว่า ที่ไหนที่เราจะต้องไป เราจะทำงานหนัก เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย หลายคน จะต้องเปลี่ยนงานหลายครั้ง ห่อนที่จะพบว่า สิ่งที่เขารักจะทำ 3.ช่วงอายุ 40 – 60 ปี ความเป็นผู้ใหญ่ ( มีวุฒิภาวะ )จะเริ่มต้นเมื่ออายุเกิน 40 ปี เราต้องทำงานมาหลายสิบปี และมีความรู้มากพอ จึงจะเรียกว่า “ เป็นผู้ใหญ่ “ ด้วยการใช้ประโยชน์ของความรู้และความสามารถ เราพร้อมที่จะเป็นผู้นำ ทั้งที่ทำงานและที่บ้าน 4.ช่วงอายุ 60 – 80 ปี ช่วงสุดท้ายของเวลานี้ เราจะเรียกว่า “ วัยเกษียณ “ ไม่มีภาระ ไม่ห่วงกังวล มีความรับผิดชอบน้อยลง และเราไม่ต้องทำงานอีกแล้ว มีความรับผิดชอบเพียงแต่ การเอาใจใส่สุขภาพ รักษาความฟิ๊ต ความมั่นคงและแข็งแรง สอนลูกหลานคนรุ่นต่อไป ด้วยการเติบเต็มความคิดที่เป็นบวก ให้มีความคิดเชิงบวกและเป็นคนดีของสังคม • อายุ 60 - 80 ปี ใส่ใจสุขภาพ และเป็นผู้ใหญ่ใจดีมีความสุข อายุ 40 – 60 ปี รับผิดชอบต่อครอบครัวและอาชีพ อายุ 20 – 40 ปี ปรับปรุงตนเอง ทำงานหนัก และปฏิบัติให้มากขึ้น อายุ 0 - 20 ปี เล่นและเรียน ( เพลิน > play + learn = plean ) • ในช่วงชีวิตการทำงานของคนเรา เราสามารถเลือกว่า “ เราจะทำอะไร “ ช่วง 20 – 30 ปี จะใจใส่กับ การทำงาน ช่วง 30 – 40 ปี จะใจใส่กับ การทำงาน ช่วง 40 – 50 ปี จะใจใส่กับ การทำงาน ช่วง 50 – 60 ปี จะใจใส่กับ การทำงาน •เราสามารถวิเคราะห์ ช่วงชีวิตการทำงานของคนเราเราพบว่า เราพบว่า เราต้องทำงาน จากอายุ 20- 60 ปี อย่างหยาบๆ คนเราต้องทำงานถึง 40 ปี ( เราไม่ทำงาน ในช่วงอายุ 0 - 20 ปี และ 60 - 80 ปี ) ถ้าราแบ่งช่วงชีวิตการทำงานของเรา เป็น 4 ช่วงเท่าๆกัน จากอายุ 20 - 60 ปีเราจะรู้ว่า เวลามากเท่าใด ที่เราต้องทำให้สำเร็จในการทำงาน ถ้าเราใช้ความตั้งใจมากขึ้น ในช่วงระหว่างขั้นตอนแรกในชีวิตการทำงานของเราจากช่วงอายุ 20 – 30 ปี เราจะได้รับความก้าวหน้ามากกว่าในช่วงอื่นๆที่เหลือ การใช้ความตั้งใจมากขึ้นในช่วงที่สองของชีวิตการทำงาน : อายุ 30 – 40 ปี เพราะ ระหว่างช่วงแรกของชีวิต เราใช้ชีวิตอย่างเล่นๆ และมีความสนุกมาก เราจะได้รับความสนุกเพลิดเพลินในการทำงาน การใช้ความตั้งใจมากขึ้นในช่วงที่สามของชีวิตการทำงาน : อายุ 40 – 50 ปี เพราะ ระหว่างช่วงที่หนึ่งและช่วงที่สอง เราเสียโอกาสไป และไม่ได้รู้เส้นทางอาชีพที่ได้ทำดีพอ เราจะต้องใช้ความตั้งใจที่มากขึ้น ที่จะไปถึงขั้นนี้ของชีวิตการทำงาน การใช้ความตั้งใจมากขึ้นในช่วงที่สี่ของชีวิตการทำงาน : อายุ 50 – 60 ปี เพราะ ระหว่าง 3 ช่วงแรกของชีวิต เราไม่ได้รู้ถึงเส้นทางที่เราจะไป เราจะต้องใช้ความตั้งใจที่มากขึ้น ที่จะไปถึงขั้นนี้ของชีวิตการทำงาน • เวลามากเท่าใด ที่เราได้ เสียไป เพื่อที่จะทำสิ่งที่เป็นด้านบวก หรือ ทำในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ •ผู้สูญเสีย , โง่เขลา และ ผู้ชนะ ผู้สูญเสีย มักจะตำหนิ ผู้อื่น คนโง่ มักจะตำหนิตนเอง แต่ ผู้ชนะ ไม่เคยตำหนิตัวเอง ผู้ชนะ จะดูที่เหตุผลซึ่งอยู่เบื้องหลังเสมอ ปัญหา และ ดำเนินการโดยตรง ที่จะแก้ ปัญหา • ท่านรีบเร่งทำงาน หรือ ? ถ้าท่านรีบเร่ง แล้ว ท่านจะต้องทำบางสิ่งบางอย่าง ก่อนที่ท่านจะแก่เกินไป • ถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสเลือก เราจะไปทำงานตามวัตถุประสงค์ ที่อายุ 20 ปี หรือที่อายุ 60 ปี บางวัน เราจะต้องทำงานหนัก เพียงแต่ เมื่อไหร ที่เราจะเลือกทำงานหนัก ถ้าเราใช้ส่วนที่เหลือ ของชีวิตเรา ทำบางสิ่งบางอย่างที่เรารัก มันก็ไม่ใช่ เรื่องที่หนักไป ใช่ไหม ? • แบตเตอรี มี ขั้วแอโนด (Anode ) และขั้ว แคโทด ( Cathode ) ซึ่งทั้งสอง ให้พลังไฟฟ้า เป็นประจุลบ และ ประจุบวก พลังไฟฟ้าที่ถูกปล่อยออกมาจากแบตเตอรี สามารถเคลื่อนทุกสิ่ง จากมือโดย นาฬิกา ไปสู่คนในรถทั้งหมดขึ้นอยู่กับขนาดของแบตเตอรี ทุกสิ่งทุกอย่าง ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเราที่จะทำสิ่งในเวลาที่ถูกต้องและสถานที่ที่เหมาะสม ผู้แพ้ มักจะมีข้อยกเว้นเสมอที่จะอธิบายถึงความล้มเหลว ในชีวิตของเขา เขาปฏิเสธที่จะรอคอย เพราะเขารักในความรวดเร็ว เขาต้องการได้ทุกสิ่งอย่างรวดเร็ว เขาต้องการชีวิตที่ดี แต่ไม่ทำอะไรที่จะได้มา เขาใจร้อน ทำสิ่งตรงกันข้ามต่างจากผู้ชนะ ผู้ซึ่งความอดทนสูงผู้ชนะ จะเรียนรู้ การรอคอยและต่อสู้เพื่อสิ่งที่เป็นของเขา เขาเรียนรู้ที่จะทำงานตั้งแต่เริ่มต้น และรู้ว่าจะหาโอกาสที่จะขอบคุณต่อความคิดบวกของเขา ผู้แพ้ เลือกจะไม่ทำสิ่งใดที่คนอื่นได้ทำ ผู้ชนะ จะปรับปรุงวิธีการทำงานให้ประสบคามสำเร็จเสมอผู้แพ้ มักจะยอมแพ้อย่าง่ายๆเสมอ แต่ผู้ชนะ จะพยายามหาทางที่ดีที่สุดเพื่อชนะ ผู้แพ้ มักพูดว่า “ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปไม่ได้ และไม่มีทางเป็นไปได้ “ แล้วทำไม มาติ้อให้เปลี่ยนแปลง เมื่อท่านไม่สามารถทำสิ่งใดตามสถานการณ์ ขณะที่ผู้ชนะ มักจะกล่าวว่า “ ทุกสิ่งเป็นไปได้ , เราเพียงแต่ละรู้ วีการที่จะทำให้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร เราก็ชนะปัญหาทั้งหมด และบรรลุเป้าหมายในชีวิต •หลักของความสำเร็จ : รัก ในสิ่งที่ทำ และ ทำในสิ่งที่รักวาดภาพอนาคตของท่าน ขณะที่ยังมีโอกาส เมื่อชีวิตไม่ได้เป็นไปด้วยดีนัก มันง่ายที่จะแปรเปลี่ยน เหมือนดังลูกบอล คนจะโยนขึ้นไปในอากาศ เตะใส่กำแพง และสะท้อนกลับมา แต่เมื่อเขาไม่ต้องการ ก็จะเตะทิ้งไป ถ้าท่านขับรถไปในหนทางที่ไม่คุ้นเคย และสุดท้ายก็หลงทาง ท่านจะหาทางออก แม้จะไม่รู้ทางยิ่งไกลออกไป ท่านยิ่งไม่รู้ ที่ไหนที่ท่านจะไปครั้นหนึ่งที่ท่านรู้ว่า อยู่ที่ไหน ท่านอาจจะต้องไปไกลเกินที่จะกลับมา คนบางคน ไม่รู้ว่าจะไปไหน เมื่อออกไปจากบ้านในตอนเช้า เขาจะไม่รู้ทิศทางของชีวิต ถ้าท่านมีเป้าหมาย ไม่ว่า จะไกลแค่ไหนที่จะต้องไป เพราะว่าอย่างน้อยท่านรู้ว่า จะไปไหน ใช่ไหม ? •อะไรที่ท่านต้องการจะทำใน 5 ปี ถ้าต้องการเป็นผู้ประกอบการ-ช่างภาพ ท่านจะต้องเรียนรู้ จะเป็นผุ้ประกอบการ-ช่างภาพที่สำเร็จได้อย่างไร ถ้าท่านต้องการเป็นครู เป็นหมอ ท่านจะต้องเดินตามขั้นตอนของการเป็นครูที่ดี เป็นหมอที่ดี ถ้าท่านสามารถวาดอนาคตของท่าน หมายความว่า ท่านจะต้องมีจินตภาพว่า อะไรที่ท่านจะเป็น ถ้าไม่สามารถจินตภาพอนาคตของตัวเองได้ ท่านก็จะเดินวน และไม่รู้ทิศทางเดินของท่าน •ชีวิตจะง่ายขึ้น ถ้าเรามีภาพของเป้าหมายที่ชัด เราสามารถเริ่มต้นเดินทางได้เลย ไปในทางที่เราต้องการ มันไม่ได้เกี่ยวว่า ท่าจะเดินหรือวิ่ง เพราะท่านจะไปถึงแน่นอนเมื่อวันใดวันหนึ่ง มีคนจำนวนมาก ไม่รู้หนทางเดิน เขาจะหลงทางและไม่รู้ว่าจะไปไหน ไม่ช้า เขาก็จะแก่และตาย ในที่ห่างไกล ถ้าเขารู้จะไปที่ไหน เขาจะใช้ รถยนต์รถไฟ เครื่องบิน ฯลฯ เพื่อไปถึงเป้าหมาย ซึ่งจะเลือกว่าไปช้าหรือเร็ว มันเหมือนการเดินทาง จากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง เราสามารถเลือกเส้นทางและประเภทของพาหนะที่จะไป แต่คนที่มีกรอบความคิดที่ผิดและการกระทำที่ผิด จะไม่เคยไปถึงได้เลย นี่จะทำให้ชีวิตยุ่งยากมากขึ้น เพราะเขาไม่รู้เส้นทางที่จะนำไปสู้ถึงเป้าหมายได้ •การหลงทางไม่ทำให้ชีวิตดีขึ้น เมื่อท่านรู้ว่าหลงทาง จำเป็นที่จะหาแผนที่ชีวิต หาทางและเดินไปสู่เป้าหมาย ท่านจะต้องหันหลังกลับ และเดินทางใหม่ ทางที่ไปเป็นทางที่กำลังเดินอยู่ ยังมีเวลามากพอ ที่จะหาทาง •เมื่อเราเรียนรู้และเข้าใจว่า “ เวลา เป็นสิ่งที่สำคัญของชีวิต “ เราจะไม่ยอมเสียเวลาเหมือนกับที่ผ่านมา ท่านไม่ต้องการคำนวณเวลาในชีวิตของท่าน “ ว่า ได้เสียเวลาไปเท่าใด และใช้เวลาไปเท่าใด มันไม่มีความหมาย เพราะว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนอดีต แต่เราสามารถเปลี่ยนอนาคต เราต้องสัญญากับตัวเอง ว่า เราจะใช้เวลาทำในสิ่งที่ทำให้เราใกล้สู่เป้าหมาย สิ่ นี้จะให้ “ ชีวิตที่ดี “ แก่เรา