เสรี พงศ์พิศ www.phongphit.com เรื่องการแบนสารพิษดูท่าจะเป็นหนังชีวิตที่ยาว คงคาดหวังแต่จาก “นโยบาย” ของรัฐอย่างเดียวไม่ได้ ด้วยการเมืองเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและไม่ได้โปร่งใสไปทั้งหมด ยากที่ผู้คนทั่วไปจะเข้าใจและตามทัน แต่ก็สรุปได้ว่า ปัญหาน่าจะอยู่ที่ 1) “เจตจำนงทางการเมือง” (political will) ที่ขาด ไม่มี “ความกล้าหาญทางจริยธรรม” ที่แข้งกล้าเพียงพอที่จะยืนหยัดอยู่ข้างประชาชน เป็นตัวของตัวเองบนฐานคิดเศรษฐกิจพอเพียง ที่ถ้าหากยึดมั่นจริงและทำได้จริง ก็จะเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีได้ไม่ว่ามหาอำนาจไหนใครจะมาข่มขู่ 2) อยู่ที่ภาคประชาชน ชุมชนที่ต้องเข้มแข็ง หาทางพึ่งพาตนเองมากกว่าจะนั่งรอนโยบายของรัฐ ถ้ามีประชาสังคมเข้มแข็ง นอกจากจะจัดการชีวิตของตนเองได้ดีกว่า ปลอดภัยกว่า ย่อมกดดันให้รัฐบาลมีนโยบายที่ “เห็นหัว” ประชาชนได้ ภาคประชาชนมีอยู่ 3 ระดับ บุคคล ชุมชน เทศบาล/อบต. ส่วน “ประชาสังคม” นั้นเป็น “เครือข่าย” และป็น “ขบวนการ” ที่จะผนึกพลังของภาคประชาชนทั้ง 3 ระดับ เรื่องอาหารการกินขั้นพื้นฐานภาคประชาชนจำนวนไม่น้อยทำได้ดีทีเดียว เป็นต้นแบบให้คนอื่นมานานหลายสิบปี ไม่ได้มีแต่ปราชญ์ชาวบ้าน แต่คนหนุ่มสาวยุคใหม่ที่ “กล้าคืนถิ่น” ก็ทำได้ดีและเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้พบทางเลือกสำหรับชีวิต และทำให้ผู้บริโภคได้กินอาหารปลอดภัย มีชุมชนมากมายหลายแห่งที่เป็นต้นแบบของการพึ่งพาตนเอง จัดการเรื่องการผลิตอาหาร พลังงาน สิ่งแวดล้อม สุขภาพ อาชีพ รายได้ของชาวบ้านได้อย่างน่าชื่นชม มีผลิตภัณฑ์แปรรูปอาหารและปัจจัย 4 ไปถึงขั้นเป็นโอทอป และส่งออก แต่ “โอกาส” ที่รัฐจัดให้นั้นดูจะน้อยนิดเมื่อเทียบกับประชากร มีแต่คน “โชคดี” ที่ได้โอกาส หรือเกิดมาเพื่อเก่ง พร้อมคุณสมบัติพิเศษกว่าคนอื่น มีครอบครัวและสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย ในระดับชุมชนเองก็ยังมีข้อจำกัด หาผู้นำที่เก่งกล้าบารมีสูงในระดับหมู่บ้านยาก ในระดับตำบล ระดับเทศบาลมีศักยภาพมากกว่า มีภารกิจและมีงบประมาณในการดำเนินการ ดังจะเห็นได้จากอปท.เล็กๆ จำนวนมากที่เป็นตัวอย่างของการจัดการตนเอง เรื่อง “แผนแม่บทชุมชน” ที่มูลนิธิหมู่บ้านได้สังเคราะห์และพัฒนามาจากประสบการณ์การทำงานกับชุมชนเมื่อ ๒๐ กว่าปีก่อน ที่ต่อมารัฐได้ขยายผล “ปูพรม” ไปทั่ว ก็เป็นการทำแผนระดับตำบล ซึ่งเป็นระดับที่พอเหมาะ มีบุคลากร ทรัพยากร มีงบประมาณเพื่อดำเนินการ แต่ก็น่าเสียดายว่า แผนแม่บทชุมชนถูกนำไปใช้เพียงเพื่อเขียนโครงการของบประมาณเท่านั้น ตัดองค์ประกอบที่สำคัญเพื่อสร้างชุมชนเข้มแข็งออกไป กลายเป็นการไปสนับสนุนระบบอุปถัมภ์ต่อไป แต่เดิม แผนแม่บทชุมชนเป็นการจัดกระบวนการเรียนรู้ เพื่อใช้ชุมชนต้นพบศักยภาพที่แท้จริงของตนเอง ค้นพบทุนในท้องถิ่น ทั้งทุนทรัพยากร ทุนทางปัญญา ทุนทางสังคม เพื่อให้สามารถจัดการทุนเหล่านั้น นำไปสู่การพึ่งพาตนเอง โดยการค้นหาปัญหาและความต้องการที่แท้จริงของชุมชน ชุมชนทำข้อมูลเรื่องสุขภาพก็พบว่า คนป่วยไข้และตายด้วยโรคอะไรบ้าง ปัญหาสาเหตุคืออะไร ก็จะพบโดยไม่ยากว่ามาจากพฤติกรรมการกินการอยู่ อาหารที่มาจากตลาดใหญ่ในเมือง ที่ส่งต่อมาจากที่ผลิตใหญ่ในจังหวัดและต่างจังหวัด ที่ล้วนแต่ใช้สารเคมีอันตรายและตกค้างในพืชผักผลไม้ ในอาหารทั้งสิ้น การเรียนรู้ทำให้เห็นว่า การซื้ออาหารการกินเป็นการซื้อ “ความตายผ่อนส่ง” ที่มีมูลค่าต่อครอบครัว ต่อชุมชนมหาศาล ยิ่งถ้ารวมทั้งตำบลก็ยิ่งน่าตกใจ “ข้อมูลคืออำนาจ” พัฒนาจิตสำนึก ทำให้คนเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน โดยเน้นที่การเพาะปลูกพืชผักต่างๆ เอง ผลิตอาหารเอง ทั้งเพื่อสุขภาพ และเพื่อลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ เทศบาล/อบต.ที่มีผู้นำที่ดีจัดให้มีการเรียนรู้และพัฒนาอย่างมีแบบมีแผน มีเป้าหมายทุกกระบวนการขั้นตอน ส่งเสริมการปลูกผักบริโภค เหลือก็มีที่ขาย มีการแปรรูป มีตลาดท้องถิ่น ตลาดผูกพันกับหน่วยงาน เลิกฝากชีวิตไว้กับรถพุ่มพวงที่มาถึงหน้ากระไดบ้านทุกวัน ตลาดนัดวันนี้มีมากมาย ถ้าจัดการดี มีแรงจูงใจให้คนปลูกผักอินทรีย์ ปลูกกินเอง เหลือก็นำมาขายที่ตลาดนัด ให้ขายโดยไม่ต้องเสียค่าที่ก็มีให้เห็นในหลายเทศบาล คนมีผักมีพริกมะเขือแค่กำสองกำก็นำมาขายได้ คนซื้อก็สบายใจว่า ได้ผักที่คนขายปลูกไว้กิน เหลือกินจึงเอามาขาย การเมืองท้องถิ่นหรืออปท.กำลังจะมีการเลือกตั้งในต้นปีหน้า ถ้าได้ผู้นำที่เก่งและดี มีนโยบายการพัฒนาท้องถิ่นที่ส่งเสริมไม่เพียงแต่อาชีพ รายได้ แต่เห็นความสำคัญของสุขภาพของประชาชนทั้งผู้ผลิตผู้บริโภค นโยบายเรื่องสารพิษในการเกษตรก็น่าจะเกิดได้โดยไม่ต้องรอนักการเมืองหรือรัฐบาลเท่านั้น การส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ เกษตรปลอดสารเคมีทำได้ดีที่สุดในระดับหมู่บ้าน ระดับตำบล เทศบาล ทางเลือกการใช้จุลินทรีย์ ชีวภาพต่างๆ ทำได้เมื่อมีการส่งเสริมจริงจัง มีการเรียนรู้ มีการลงมือทำ มีแรงจูงใจในเรื่องรายได้ การลดหนี้สิน การเอาชีวิตรอดในระยะเปลี่ยนผ่าน เครือข่ายเกษตรอินทรีย์ เกษตรปลอดสารเคมี และเครือข่ายภาคประชาสังคมเข้มแข็งจะสร้างพลังจาก “ข้างล่าง” เพื่อนำไปสู่นโยบายระดับชาติที่ดีได้ ไม่หวังจากคนที่ “เล่น” การเมือง ซึ่งบางครั้งก็ “เล่น” กับชีวิตประชาชนด้วย