ศ.ดร.ไชยา ยิ้มวิไล นานาอารยประเทศต่างประสบปัญหาใน “การปฏิรูปประเทศ” ทั้งสิ้น ไม่เว้นแต่ประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน โดยเฉพาะสาธารณัฐประชาชนจีน ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับหลายพันปี ที่มีปัญหาทั้งความยากจน ความเหลื่อมล้ำ การทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง การศึกษา และการกดขี่ข่มเหง เป็นต้น สหรัฐอเมริกามีความยาวทางประวัติศาสตร์มา 230 กว่าปี หรืออังกฤษนับเกือบพันปี ฝรั่งเศสเช่นเดียวกัน จริงๆ แล้วปัญหาที่มีมากครอบคลุมทั้งด้านการเมือง การเศรษฐกิจ และสังคม แม้กระทั่งทุกวันนี้ ยังแก้ปัญหาทุกกรณียังไม่ครบเลย ยิ่ง “สังคมยุคใหม่” ที่สภาพสังคมได้ “ผันผวน-เปลี่ยนแปลง” อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ “โซเชียลมีเดีย (SOCIAL MEDIA)” ที่มีข่าวโผล่ทุกๆ นาที ทั้งจริงบ้าง ข่าวบิดเบือน และข่าวเท็จบ้าง! ประเด็นสำคัญ หมายความว่า “สังคมยุคใหม่” โดยเฉพาะ “เยาวชนรุ่นใหม่” ต่างบริโภคข้อมูลข่าวสารผ่าน “เว็บไซค์” โดยตลอด เรียกว่า “ถ้าว่างเมื่อไหร่เป็นก้มหน้าดูโทรศัพท์ตลอด!” จนกลายเป็นที่กล่าวขานว่า “สังคมก้มหน้า!” นอกเหนือจาก ข้อมูลมากยิ่งขึ้นแล้ว ยังมีสารพัดภาพ แม้กระทั่งภาพวิดีโอ หรือภาพยนตร์โป๊ จนเรียกว่า “ภาครัฐตามเก็บภาพไม่ทัน!” หรือ “รีบลบภาพไม่ทัน” จนก้าวล้ำสู่ “ข้อมูลจากทั่วโลก” ที่เราต้องรีบปฏิรูปสู่ “สังคมดิจิตัล” ให้จงได้ เนื่องด้วยสังคมยุคใหม่ กลายเป็นสังคมดิจิตัลไปแล้ว จนนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องออกมาเรียกร้องว่า “ประเทศไทย 5 ปีข้างหน้าต้องเป็นสังคมดิจิตัล” แม้แต่ประเทศจีนที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน ทุกวันนี้ประชากรจีนมีจำนวน 1,350 ล้านคน ที่มากที่สุดในโลก ยังแทบเป็น “สังคมมีเดีย” เกือบหมดทั้งประเทศ ด้วยเครื่องไม้เครื่องมือ โทรศัพท์มือถือ ระบบโทรคมนาคม ทั้งนี้แต่ก็ยังไม่อาจครอบคลุมได้ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ แต่จีนได้กระทำทั้งวิจัยและพัฒนาด้วยความร่วมมือกับกลุ่มประเทศที่เจริญแล้ว โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา จนส่งดาวเทียมขึ้นบนท้องฟ้าเพื่อทำทั้งสถานีโทรทัศน์ หรืออุตุพยากรณ์ และแน่นอน “ข่าวกรอง-ข่าวลับ” ที่มัก “ลอบดักฟัง-ลอบเก็บข้อมูล” กันได้แล้วขนาดนี้ แต่ถามว่า กว่าจีนจะพัฒนาได้ขนาดนี้เชิงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้น ต้องใช้ระยะเวลาปฏิรูปและพัฒนามาอย่างยาวนาน เรียกว่า อาจเริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ยุติเมื่อปีค.ศ.1945 และ “ปฏิวัติวัฒนธรรม (CILTURAL REVOLUTION)” ที่เป็น “การปฏิวัติ” อย่างแท้จริง เพราะเรียกว่า “พลิกฟ้าพลิกดิน!” กันเลยทีเดียวเมื่อปีค.ศ.1949 เนื่องด้วยสมัยสุดท้ายของราชวงศ์ชิง ที่จักรพรรดิปูยี นั้นยังทรงพระเยาว์มาก โดยมีพระนางซูสีไทเฮาที่บริหารจัดการบ้านเมืองหลัง “ม่านไม้ไผ่!” จนเกิดการทุจริตคดโกงกันมหาศาล ทั้งในเมืองหลวงและแทบทุกแคว้นอย่างมาก หรือ “แทบไม่มีจะกิน” จนเกิด ทั้ง “กลุ่มเรดการ์ด (RED CARD)” ที่มีแต่เยาวชนออกมาคัดค้านเรียกร้องให้มีการปฏิวัติ บวกกับ “กลุ่มคณะปฏิวัติของเหมา เจ๋อตุ๋ง!” ที่ในที่สุดก็ปฏิวัติจีนได้สำเร็จ! แต่เป็นการปฏิวัติที่ยาวที่สุด แม้กระทั่งทุกวันนี้จีนยังต้องปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่ง “ประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง” ที่นับว่า “ทันสมัย” ที่สุดในการนำพาประเทศจีนให้มาอยู่ชั้นแนวหน้าเป็น “มหาเศรษฐีอันดับ 2 ของโลก” เรียกว่า “หายใจรดต้นคอ!” กับอเมริกาก็แล้วกัน! ประเทศจีนนั้นดังกล่าวไว้ข้างต้นว่า มีประชากร 1,350 ล้านคน เป็นรัฐพรรคการเมืองเดียวที่ปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงปักกิ่ง แต่เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของจีน ประเทศจีนแบ่งการปกครองออกเป็น 23 มณฑล 5 เขตปกครองตนเอง 4 เทศบาลนคร (ปักกิ่ง เทียนจิน เซี่ยงไฮ้ และฉงชิ่ง) และ 2 เขตบริหารพิเศษ คือ ฮ่องกง และมาเก๊า นับตั้งแต่การปฏิรูปเศรษฐกิจซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนตลาดเมื่อปี ค.ศ. 1978 ประเทศจีนได้กลายมาเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจสำคัญที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยเป็นผู้ส่งออกสินค้ารายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นผู้นำเข้าสินค้ารายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก และเป็นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลกทั้งในด้านผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศราคาตลาดและความเท่าเทียมของอำนาจซื้อ ตลอดจนเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประเทศจีนได้รับการจัดให้เป็นรัฐอาวุธนิวเคลียร์และมีกองทัพขนาดใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งมีค่าใช้จ่ายด้านกลาโหมมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก ประเทศจีนถูกจัดว่ามีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นมาเป็นอภิมหาอำนาจของโลก “การปฏิวัติซินไฮ่” เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2454 (สิ้นสุดลงในปี พ.ศ 2455) ซึ่งเป็นการโค่นล้มอำนาจการปกครองของราชวงศ์ชิง โดยการนำของ ดร. ชุน ยัตเซน หัวหน้าพรรคก๊กมินตั๋ง เป็นผลทำให้จีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยในที่สุด โดยสาเหตุที่ก่อให้เกิดการโค่นล้มอำนาจครั้งนี้น่าจะมาจาก “ความเสื่อมโทรมของสภาพสังคมจีน” ผู้นำประเทศจักรพรรดิแมนจูไม่มีอำนาจกำลังพอที่จะปกครองประเทศได้ ซึ่งตลอดระยะเวลาปกครอง 268 ปี (พ.ศ. 2187 – 2455) มีแต่การแย่งชิงอำนาจในหมู่ผู้นำราชวงศ์ ด้วยเหตุนี้ราษฎรส่วนมากจึงตกอยู่ในสภาพยากจน ชาวไร่ชาวนาถูกขูดรีดภาษีอย่างหนัก ถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าของที่ดิน ชาวต่างชาติเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ แผ่นดินจีนถูกคุกคามจากต่างชาติ โดยเฉพาะชาติมหาอำนาจตะวันตก และญี่ปุ่น ซึ่งจีนทำสงครามต่อต้านการรุกรานของกองกำลังต่างชาติเป็นฝ่ายแพ้มาโดยตลอด ทำให้คณะปฏิวัติไม่พอใจระบอบการปกครองของราชวงศ์ชิง การสู้รบส่วนใหญ่ในสงครามกลางเมืองจีนยุติลงในปี พ.ศ. 2492 โดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้าปกครองจีนแผ่นดินใหญ่ และพรรคก๊กมินตั๋งต้องล่าถอยไปยังเกาะไต้หวัน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2492 เหมาเจ๋อตงประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือที่เรียกว่า "จีนคอมมิวนิสต์" หรือ "จีนแดง” ต้องว่ากันต่อสัปดาห์หน้าว่า “ทำไมจีนเจริญมากเท่านี้!”