แสงไทย เค้าภูไทย ขณะที่ไวรัสโคโรนากำลังเขย่าขวัญชาวโลกด้วยจำนวนผู้ป่วย-ตายเพิ่มขึ้น นักวิทยาศาสตร์อเมริกันกับจีนกลับไปพบสายพันธุ์ใหม่ที่ยังไม่มีในสาระบบแช่แข็งมา 15,000 ปีที่ธิเบต กังวลว่า โลกร้อน น้ำแข็งละลาย ไวรัสและเชื้อโรคที่ถูกแช่แข็งนานนับหมื่นๆปีจะกลับมาปรากฏอีก โคโรนาไวรัส ( coronavirus )นี้ เคยระบาดในชื่อ ซารส์ (SARS ) ในเอเชียช่วง ปี 2002 และเมอร์ส ( MERS) ในตะวันออกกลางปี 2012 ไวรัสเหล่านี้แพร่จากสัตว์สู่คนจากการสัมผัสจากการกินเนื้อดิบ เมื่อเข้าสู่คน จะแพร่ทางอากาศ ( airborne virus ) เคยระบาดในคนมาแล้ว 6 สายพันธุ์ ครั้งนี้เป็นสายพันธุ์ที่ 7 (2019-nCoV) สำหรับจีน เคยเป็นต้นตอระบาดมาหลายครั้ง คือปี 1957( พ.ศ. 2500) ตั้งต้นที่กุ้ยโจว แล้วแพร่กระจายไปทั่วโลก การที่ไปจากเอเชีย จึงได้ชื่อว่า ไข้หวัดใหญ่เอเชีย (Asian Flu) มีคนตายถึง 1,100,000 ราย อีก 11 ปีต่อมาเกิดที่ฮ่องกงเป็น Hong Kong Flu ตายอีก 1 ล้านคนและที่ฮ่องกงอีกเช่นกัน คนไทยยังจำกันได้ดี “ไข้หวัดนก 2540” bird flu H5N1 เพราะมากับสัตว์ปีก ครั้งนี้ตายแค่ 282 ราย กลับมาจีนอีกครั้ง 2546 จุดกำเนิดมณฑลกวางตุ้งแพร่ไป 30 ประเทศ คนตาย 744 คน ชื่อโรค “ทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (Severe Acute Respiratory Syndrome ชื่อย่อSARS) แล้วจึงมาครั้งนี้ตอนนี้เริ่มใช้ชื่อ “ไวรัสอู๋ฮั่น” กันแล้ว จำนวนตายไต่ระดับผ่าน 80 คนแล้ว การแพร่เชื้อ พบว่าเป็นจากสัตว์สู่คน โดยเฉพาะ ค้างคาว รวมถึงสัตว์เลื้อยคลานที่คนจีนนิยมนำมา “เปิบพิสดาร” เช่นงูเห่า เต่า งู หนู เม่น ตะพาบน้ำ ฯลฯ อันที่จริงสัตว์บกก็มี อย่างอูฐ ซึ่งป็นพาหะเมอร์ส จนโรคนี้ได้อีกชื่อว่า Camel Flu ไข้หวัดใหญ่อูฐ เชื่อกันว่า ไวรัสไข้หวัดใหญ่ ( Influenza virus) สายพันธุ์ Influenza A และ B ที่ก่อเกิดอาการรุนแรงถึงตายกลุ่มนี้ จะยังวนเวียนระบาดเป็นครั้งเป็นคราวไม่หมดสิ้น เหตุจากมันสามารถปรับตัวเมื่อเข้าไปอยู่ในร่างกาย (host) ใหม่ได้ แม้แต่วัคซีนที่เคยใช้จัดการกับมันอย่างได้ผล มันก็ปรับตัวสู้ใด้ (adapting to the current vaccine) แต่ที่น่าตระหนกมากก็คือ มีการค้นพบไวรัสพันธุ์โบราณที่หายสาปสูญไปเพราะถูกแช่แข็งกว่า 15,000 ปี โดยทีมนักวิทยาศาสตร์อเมริกันกับจีนร่วมกันเดินทางสำรวจทุ่งน้ำแข็งธิเบตเมื่อปี 2015 การละลายของน้ำแข็งจากเหตุโรคร้อน จะปลดปล่อยไวรัสโบราณออกมาสู่โรคปัจจุบัน ซึ่งที่พบนั้นมีถึง 33 กลุ่ม โดยในจำนวนนั้น 28 กลุ่มเป็นไวรัสที่ไม่เคยมมีในสาระบบมาก่อน คงไม่ใช่ไวรัสอย่างเดียว แบกทีเรียและเชื้อโรคร้ายที่ถูกแช่แข็งมานานนับพันๆหมื่นๆปี จะถูกปลดปล่อยออกมาด้วยเมื่อน้ำแข็งละลาย มนุษย์และสัตว์โลกจะต้องกลับไปผจญกับโรคที่เคยเกิดเมื่อพันๆหมื่นๆปีมาแล้วอีกครั้ง มนุษย์วิวัฒนาการขึ้นมาจาก primates ครึ่งลิงครึ่งคนที่เดินได้สองขา ใช้เวลาถึง 45,000-50,000 ปีในการหดปากที่ยื่นยาวแบบชิมแปนซีที่ต้องเดินสี่ขา เพื่อที่จะมองระนาบตาได้ จนมาเป็นปากสั้นเดินสองขาเป็นมนุษย์ปัจจุบันนี้ มนุษย์ กินเนื้อสัตว์ดิบที่ล่ามาได้ ทำให้ร่างกายคุ้นเคยกับเนื้อสัตว์ดิบ มีภูมิต้านทานไวรัสที่ติดมากับเนื้อสัตว์ดิบได้จนกระทั่งไวรัสหมดฤทธิ์ไปเอง แต่วันนี้ มนุษย์ทำลายภูมิคุ้มกันที่เป็นเกราะป้องกันตนเอง ทั้งด้วยมลภาวะทั้งด้วยการละเลยหลักสุขอนามัย จากสังคมเกษตรกรรม สู่สังคมอุตสาหกรรมและชุมชนเมือง ร่างกายมนุษย์ยุคนี้อ่อนแอกว่ายุคปู่ย่าตายายหลายเท่าตัว จึงต้องพึ่งยาและกระบวนการรักษาใหม่ๆเช่นวัคซีนแทนภูมิต้านทาน ซึ่งก็ได้ผลส่วนหนึ่ง แต่วันนี้กลับพิสดารวิตถาร กินแบบดิบหรือดิบๆสุกๆ ทั้งๆที่บรรพบุรุษเมื่อหมื่นๆปีก่อน รู้จักใช้ไฟปรุงอาหารกันแล้ว จึงหากไวรัสก่อนยุคน้ำแข็งกลับมาเยี่ยมเยือนเหมือนเมื่อ 15,000 ปีอีกครั้ง จะสู้กับมันไหวหรือ ?