แสงไทย เค้าภูไทย นักท่องเที่ยวตรุษจีนที่ยังอยู่ในไทยนับหมื่นๆคน และกลับแล้วนับแสน หากติดเชื้อ และแพร่สู่คนไทยโดยต่างไม่รู้ตัว ระยะฟักตัว 10-14 วันจะสิ้นสุดลงสัปดาห์หน้า อาการจะปรากฏ พร้อมรับมือกันหรือยัง ? กรณีนี้ ตั้งสมมุติฐานไว้ 2 ทาง คือคนไทยติดเชื้อจากนักท่องเที่ยวจีนกับไม่ติดเชื้อ สมมุติฐานว่าติดเชื้อ กลุ่มเสี่ยงคือผู้อยู่ในภาคบริการท่องเที่ยว สถานบริการที่พัก อาหาร เครื่องดื่ม ขายของที่ระลึก รถไฟฟ้า แท็กซี่ฯลฯ ดังเช่นคนขับแทกซี่รายหนึ่งมีอาการไปแล้ว เทศกาลตรุษจีนอยู่ช่วง 24-27 มกราคม 63 ที่เป็น “วันจ่าย-วันไหว้-วันถือ-วันเที่ยว” อันเป็นช่วงที่รัฐบาลจีนถือเป็นวันหยุด ครอบคลุมก่อนและหลังเทศกาลยาวถึง 1 เดือน จุดประสงค์คือเพื่อให้เดินทางกลับไปไหว้บรรพบุรุษที่บ้านเกิด และเยี่ยมเยียนญาติ ที่หยุดยาวก็เพราะบางพื้นที่ใช้เวลาเดินทางเป็นสัปดาห์เนื่องจากแผ่นดินจีนพื้นที่กว้างใหญ่เทียบกับไทยได้หลายสิบเท่า แต่สมัยนี้ มีรถไฟความเร็วสูง เครื่องบิน ย่นเวลาเดินทางได้หลายเท่าตัว ชาวจีน โดยเฉพาะวัยมิลเลนเนียล จึงใช้เวลาส่วนเกินไปเที่ยวต่างประเทศกันทั่วโลก เป็นการบังเอิญที่โคโรนาไวรัสระบาดโดยไม่ทันรู้ตัว พวกที่ติดเชื้อก็ยังไม่แสดงอาการ คนจีนเดินทางไปท่องเที่ยวกันนับล้านๆคนก่อนที่จะมีการปิดเมืองอู่ฮั่นและรัฐบาลจีนสั่งห้ามชาวจีนเดินทางออกนอกประเทศเป็นเวลา 3 เดือน นักท่องเที่ยวจีนมาไทยหลายแสนคน กลับแล้วหลายแสนคน ตกค้างอยู่อีกราว 2 หมื่นคน มีหลายคนอาการติดเชื้อแสดงผล รักษาหายแล้วกลับไป ระยะนี้เริ่มพบคนไทยติดเชื้อกันบ้างแล้ว แสดงว่า สมมุติฐานที่ 1 ที่ว่านักท่องเที่ยวจีนไม่แพร่เชื้อไวรัสอู่ฮั่นสู่คนไทย ตกไป เปลี่ยนเป็นสมมุติฐานที่ 2 คือนักท่องเที่ยวจีนที่ติดเชื้อไวรัสแพร่เชื้อสู่คนไทย จำนวนเท่าใดยังไม่มีใครทราบได้ เพราะยังไม่พ้นระยะฟักตัว ระยะฟักตัวโดยเฉลี่ย แล้ว 10-14 วัน แต่ในรายที่ร่างกายอ่อนแอ เช่น คนชรา เด็ก อาการอาจแสดงให้เห็นเร็วขึ้น ตั้งแต่ 2- 7 วันก็มีการพบ ถ้านับเอาวันที่ 26 ม.ค.เป็นวันเดินทางมาไทย ระยะฟักตัวในผู้ติดไวรัสถึงวันที่อาการปรากฏ จะอยู่ช่วง วันที่ 4 ถึง 8 ก.พ. คนไทยที่รับเชื้อในช่วงดังกล่าว จะเริ่มทะยอยปรากฏอาการขึ้นในวันนี้ไปจนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ จนถึงวันนี้ ยังไม่มียาใดฆ่าไวรัสได้ จะมีก็แต่ยาต้าน เช่น วัคซีนเสริมภูมิคุ้มกัน และยารักษาตามอาการ เช่นยารักษาอาการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจที่มีอาการไข้ หวัด น้ำมูกไหล ไอ จาม หายใจไม่คล่อง เป็นต้น ไวรัสใหม่นี้พัฒนาจากไวรัสที่ก่อเกิดโรคไข้หวัดนก หมู ซาร์ส เมอร์ส ซึ่งมีมาแล้ว 6 สายพันธุ์ สายพันธุ์นี้เป็นพันธุ์ที่ 7 เริ่มระบาดเมื่อปลายปี 2019 จึงได้ชื่อว่า “ 2019 nCoV” ขณะนี้สามารถผลิตวัคซีนต้านมันได้โดยเฉพาะแล้ว โดยคณะนักวิจัยร่วม อิตาลี รัสเซีย สวีเดน และ อังกฤษ พบยารักษาไวรัส 2019 nCoV ให้ชื่อว่า Remdesivir โดย บริษัทยาอเมริกัน Gilead เป็นผู้ผลิต จะนำไปใช้ที่จีนเร็วๆนี้ อย่างไรก็ดี ยาต้านไวรัสเท่าที่มีอยู่ในขณะนี้ เช่น Oseltamivir ชื่อการค้า Tamiflu รักษาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B ยาต้านเริม (HPV)ต้านไวรัสสายพันธุ์ H1N1, H5N1,H9N1 ฯลฯ ก็นำมาใช้ได้ ที่โรงพยาบาลราชวิถี ประสบความสำเร็จเมื่อวันก่อน แพทย์ก็ใช้วัคซีนต้านไวรัส HIV(เอดส์) สายพันธุ์ E ที่มหาวิทยาลัย มหิดลพัฒนาได้สำเร็จมารักษา ร่วมกับยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ ทั้งนี้เพราะ อาการเริ่มแรกของโรคติดเชื้อไวรัสเหล่านี้รวมถึงไข้หวัดใหญ่จะเหมือนๆกัน หากยับยั้งได้ อาการดำเนินต่อไปคือปอดบวม ลงท้ายด้วยไตวายจนถึงตาย ก็จะถูกสกัดกั้นด้วยโปรตีนภูมิต้านทาน(antibody )ที่ร่างกายตั้งตัวได้แล้ว ผลิตออกมา แต่ขณะที่ไวรัสอู่ฮั่น กำลังสำแดงฤทธิ์ใกล้ถึงจุดพีค อันเป็นจุดสิ้นสุดของการแพร่ระบาด กลับเกิดไข้หวัดนกแทรกขึ้นมา ที่หูหนาน ตามความเชื่อท้องถิ่นสืบทอดกันมา ชาวจีนจะเลี้ยง เป็ด ไก่ ห่านไว้ตามลานบ้าน เตรียมไว้ใช้ทำอาหารไหว้บรรพบุรุษ เนื่องในเทศกาลตรุษจีนโดยเฉพาะ แต่เพราะเลี้ยงแบบเปิด เชื้อไวรัสจึงเข้าไปอยู่ในสัตว์ปีกเหล่านั้น ขณะฆ่าสัตว์ดังกล่าวหรือพ่อค้าแม่ค้านำเนื้อสัตว์ดิบมาวางขายโล่งๆ คนสัมผัสเลือดและเนื้อของมัน ก็จะติดเชื้อหวัดนกมาด้วย ติดเชื้อตั้งแต่ตรุษจีน แล้วออกมาเที่ยวเมืองไทย จะแพร่สู่คนไทยมากน้อยแค่ไหน จากนี้ไปจนถึงกลางเดือนได้รู้กัน