แสงไทย เค้าภูไทย เมืองไทยในคราบศักดินาซ่อนรูป ระบอบการเมืองสลับเปลี่ยนระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการ ทำให้ทหารกลายเป็นขั้วอำนาจใช้อำนาจนิยม จนถูกมองว่าเป็นผู้ได้เปรียบสังคมแทบทุกด้าน ถือเป็นยุคเสื่อมสุดขีดของทหาร จากการที่ถูกขุดคุ้ยผลประโยชน์ในกองทัพทุกด้าน ทุกแง่ทุกมุมในประเด็น “เงื่อนงำผลประโยชน์ในกองทัพ (บก)” ทั้งด้านการเงิน ด้านสวัสดิการ ด้านสิทธิประโยชน์ ด้านอำนาจตกทอด ฯลฯ มีทั้งเชิงเดี่ยวและทับซ้อน นานัปการ แม้แต่การชิงอำนาจกันเองก็เคยปรากฏ ตั้งแต่ยุคก่อนประชาธิปไตยจนถึงยุคนี้ที่ทหารแบ่งขั้วเป็น “ทหารเสือราชินี (Queen’s Tigers)” หรือบูรพาพยัคฆ์ กับ “วงศ์เทวัญ” แม้วันนี้ สองขั้วจะรวมกันเป็น “สายน้ำเดียวกัน” โดย “3 พลเอก ป.” ทหารเสือราชินียกบิ๊กแดง พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ สายวงศ์เทวัญ ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.แล้วก็ตาม แต่จากเหตุการณ์ที่โคราชเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้กองทัพ(บก) ถูกมองว่าเป็นแดนสนธยา ด้วยผลประโยชน์มหาศาล ก่อนหน้านี้ มีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการซื้ออาวุธต่อเนื่องมาตลอด ตั้งแต่เครื่องตรวจจับระเบิด GT 200 ที่ถูกเรียกว่า“ไม้โกกเกก” “ เรือเหาะลูกโป่งสรรค์” จนถึงเรือดำน้ำ รถถังจีน ยังมีการเตรียมการซื้ออาวุธระดับและขนาดต่างๆ อย่างเป็นล่ำเป็นสันถึงขนาดตั้งทีมจัดซื้อไปประจำที่จีนเงียบๆ มาเป็นที่เปิดเผยเมื่อทางกองทัพส่งเครื่องบินไปรับทีมซื้ออาวุธ 20 คนกลับมาก่อนหน้านกแอร์ไปรับคนไทยหลายสัปดาห์ อีกเรื่องที่ทหารถูกมองด้วยความเสื่อมศรัทธาก็คือ ความเสียหายจากการทำรัฐประหารของทหารมีมูลค่ามหาล ครั้งล่าสุด พ.ค.2557 ที่กินระยะเวลา 5 ปีเศษและมีการสืบทอดอำนาจมาจนบัดนี้ มีการประเมินเปรียบเทียบกับการทำรัฐประหารครั้งก่อนปี 2549 รัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 โดยพลเอกสนธิ บุณยรัตกลิน อดีต ผบ.ทบ.ภาคเศรษฐกิจของรัฐประเมินไว้ว่า ได้ทำความเสียหายถึง 10.977 ล้านล้านบาท รัฐประหารพ.ค. 2557 โดยพลอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เศรษฐกิจไทยเริ่มชะลอตัว เหตุจากความเชื่อมั่นต่อการเมืองไทยลดลงคาดว่าเสียหายจะมากกว่าครั้งก่อน 3 เท่าตัว คือกว่า 33 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ สาเหตุหลักคือนักลงทุนต่างชาติที่ขนเม็ดเงินมาลงทุนในไทย (FDI) ถอยลงๆ ย้ายฐานผลิตหนีไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านเป็นระลอกๆ ล่าสุด คือมาสด้ากับเชฟโรเล็ต รัฐบาล คสช.ต้องออกมาตรการกระตุ้น ตั้งแต่การสร้างนิคมอุตสาหกรรม EEC จนถึงการให้สิทธิพิเศษเช่าที่ดินถึง 99 ปีจนแทบจะเรียกได้ว่ายกแผ่นดินไทยในโซนอุตสาหกรรมเป็นของต่างชาติ แต่ก็สายเกินแก้ เมื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มเป็นขาลงในปี 2561 และออกอาการชัดเจนปี 2562 ไทยซึ่งเปราะบางด้านความเชื่อมั่นของผู้บริโภคภายในประเทศและการลงทุนต่างประเทศ ต้องใช้มาตรการประชานิยม “ประชารัฐ” และ “ชิมช้อปใช้” หว่านเงินเป็น “เฮลิคอปเตอร์มันนี่” แต่ไม่ได้ผล การที่ความเชื่อมั่นทั้งภาคประชาชนและของนักลงทุนต่ำสุดในรอบ 11 เดือนนั้น นอกจากการเมืองขาดเสถียรภาพแล้ว ยังเป็นเรื่องคอร์รัปชันเฟื่องฟูทุกระบบ เหตุเพราะทหารยึดอำนาจปกครองประเทศ จึงนำระบบรัฐราชการมาใช้ เนื่องจากคุ้นชินกับระบบราชการทหาร ซึ่งไม่ต่างจากข้าราชการพลเรือนมากนัก ทั้งสองระบบ ล้วนมีรากเหง้าระบบอุปถัมภ์หยั่งรากลึกมายาวนานจากระบอบศักดินามาจนถึงทุกวันนี้ ระบบอุปถัมภ์นี้ทำให้ทหารระดับรองผู้บังคับบัญชาและระดับต่ำลงมา ไม่สามารถทัดทานการกระทำที่ไม่ถูก ไม่ควรของนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาของตนได้ ตามที่ ผบ.ทบ.พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ จูงสุนัข ไปออกกำลังกายและได้เขียนบทความเปรียบเปรยว่า สุนัขยังรู้จักกตัญญูต่อกองทัพบกนั้น มีนัยให้คิดหลายประเด็น สมัยเมื่อจอมพลป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นรมว.กลาโหมและผบ.ทบ. มีคนตั้งข้อสังเกตุว่า จอมพลสฤษดิ์ จะยึดอำนาจจอมพลป.ทั้งนี้ด้วยความที่จอมพลป.ทำอะไรไม่ดีไว้มาก จนประชาชนเรียกร้องให้ลาออก จอมพลป.ได้ทดสอบใจของจอมพลสฤษดิ์ว่ายังจงรักภักดีต่อตนหรือไม่ในหลายวาระ จอมพลสฤษดิ์ จึงต้องแสดงความจงรักภักดีเชิงสัญลักษณ์ ด้วยการนำสุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ด พันธุ์เดียวกันกับที่พลเอกอภิรัชต์จูงไปเดินเล่นเมื่อไม่กี่วันก่อน ไปมอบเป็นของขวัญวันเกิดแด่จอมพล ป. พร้อมกับบอกว่า ผมจะจงรักภักดีต่อท่านดุจดังสุนัขตัวนี้ จอมพล ป.จึงเลิกระแวง แม้ว่าต่อมาประชาชนจะเดินขบวนเรียกร้องให้ลาออกหลายวาระก็ตาม ไม่เฉลียวใจว่าจอมพลสฤษดิ์ ได้หันไปเข้าข้างประชาชนจนกลายเป็นขวัญใจประชาชนด้วยการลาออกจากรมว.กลาโหม ซ้ำพาประชาชนไปทำเนียบเรียกร้องให้จอมพล ป.ลาออก เพราะยังคิดว่าจอมพลสฤษดิ์ ยังซื่อสัตย์ดุจสุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ดที่นำมามอบให้ไม่คลอนแคลน มารู้ตัวก็สายเสียแล้ว เมื่อจอมพลสฤษดิ์ ยึดอำนาจ โดยอ้างว่าเป็นการปฏิวัติโดยมีประชาชนสนับสนุน จอมพลป.ต้องไปพำนักที่ญี่ปุ่น และกลับมาในโกศบรรจุอัฐิเล็กๆใบเดียว