ชัยวัฒน์ สุรวิชัย ไม่มีอะไรน่าอายมากนัก เมื่อได้เฝ้าดูใครบางคนทำอะไรบางอย่าง ที่คุณพูดว่าไม่สามารถทำได้ “ แซม อีวิง “ ผู้คนซึ่งยึดแน่นต่อความคิดเชิงบวก : เป็นความสามารถของการทำงานที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ ให้สำเร็จ เพราะเขาเชื่อมั่นในแนวการแก้ปัญหานั้น นี่คือ 7 เหตุผล ที่ทำให้ท่านสามารถเป็นนักคิดที่เป็นไปได้ 1. ความคิดเชิงบวก เพิ่มความเป็นไปได้ เมื่อท่านเชื่อว่าท่านสามารถทำสิ่งที่ยากได้สำเร็จ ประตูต่างๆก็จะเปิดให้แก่ท่าน เมื่อ จอร์จ ลูคัส ได้ประสบความสำเร็จ ในการสร้าง “ Star Wars “ แม้จะมีผู้ที่กล่าวว่าเทคนิคพิเศษที่เขาต้องการ ไม่เคยทำได้ และไม่สามารถทำ ความเป็นไปได้อื่นๆจำนวนมาก ได้เปิดโอกาสแก่เขา อุตสาหกรรมแสงและเวทมนตร์ ( ILM ) บริษัทที่เขาสร้างขึ้น เพื่อผลิตเทคนิคพิเศษที่เป็นไปไม่ได้ กลายเป็นแหล่งของรายได้ที่ช่วยในการจัดจำหน่าย โครงการอื่นๆของเขา เขาสามารถที่จะผลิตสินค้าที่เชื่อมโยงกับภาพยนตร์หลายเรื่องของเขา สิ่งเหล่านี้ได้นำรายได้อื่นๆจำนวนมาก เพื่อเป็นทุนในการสร้างภาพยนตร์ แต่ความเชื่อมั่นของเขา ในการทำสิ่งที่ยาก ได้มีผลอย่างมากต่อผู้สร้างภาพยนตร์คนอื่นๆและคนรุ่นใหม่ที่ตามมา คริส สารีวิก นักเขียนด้านวัฒนธรรมที่โด่งดัง ได้ยืนยันว่า “ เริ่มต้น จะเกี่ยวข้องกับงานของเขา และแล้วผ่านอิทธิพลที่ไร้คู่แข่งของ ILM จอร์จ ลูคัสได้กำหนดไว้สำหรับสองทศวรรษ gdujp; แนวคิดกว้างที่จำเป็น ของภาพยนตร์ “ เมื่อท่านได้เปิดให้ตัวเองคิดในเชิงบวกอย่างหนึ่ง ท่านก็จะเปิดทางให้ตนเองคิดถึงสิ่งที่เป็นเชิงบวกอีกมากมาย 2. ความคิดเชิงบวก ให้โอกาสและผู้คนมาหาท่าน กรณีของ จอร์จ ลูคัส ได้ช่วยให้เห็น การเป็นนักคิดเชิงบวกสามารถสร้างโอกาสใหม่ที่ดึงดูดผู้คนได้อย่างไร ผู้คนผู้ซึ่งคิดใหญ่ จะดึงดูดให้คนใหญ่มาหาเขา ถ้าท่านต้องการประสบความสำเร็จในสิ่งใหญ่ ท่านจะต้องเป็นนักคิดเชิงบวก 3. ความคิดเชิงบวก เพิ่มความเป็นไปได้อื่นๆ นักคิดใหญ่ ผู้ซึ่งสร้างสิ่งต่างๆให้เกิดขึ้น ก็จะสร้างความเป็นไปได้แก่คนอื่นๆ สิ่งนี้เกิดขึ้นภายใน เพราะมันติดต่อกันได้ ท่านไม่สามารถช่วย แต่ การทำให้เกิดความมั่นใจและคิดใหญ่มากขึ้น เมือท่านอยู่รอบๆนักคิดเชิงบวก 4. ความคิดเชิงบวก อนุญาตให้ท่านฝันใหญ่ ไม่ว่าท่านจะมีอาชีพใด ความคิดเชิงบวกช่วยท่านขยายขอบเขตอันไกลโพ้นออกไปและฝันใหญ่ขึ้น ศาสตราจารย์ เดวิด เจ ชวาทซ์ เชื่อว่า “ นักคิดใหญ่คือผู้เชี่ยวชาญในการสร้างการมองบวกไปข้างหน้า ภาพของความคิดเชิงบวกในใจของพวกเขาและในใจของคนอื่นๆด้วย “ ถ้าท่านโอบกอดความคิดเชิงบวก ความฝันของท่านจะขยายจากจอมปลวกไปถึงขุนเขา และเพราะท่านเชื่อในความคิดเชิงบวก ท่านจะวางตนเองในตำแหน่งที่จะก้าวไปถึงความสำเร็จ 5. ความคิดเชิงบวก ทำให้มีการยกระดับเฉลี่ยให้สูงขึ้น ในระหว่างทศวรรษที่ 1970 เมื่อราคาน้ำมันขึ้นไปติดเพดาน ผู้สร้างรถยนต์ได้รับคำสั่งให้ทำรถยนต์ที่ใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ประกอบการคนหนึ่งได้ถามกลุ่มของวิศวกรอาวุโส ให้ออกแบบลดน้ำหนักของรถยนต์ เขาทำงานจากปัญหา และค้นหาทางแก้ แต่ในที่สุดเขาได้สรุปว่า การทำรถให้เบาลง ไม่สามารถทำได้ อาจจะทำให้มีราคาแพงเกินไป และนำมาซึ่งความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องหลายอย่าง เพราะเขาไม่สามารถออกจากร่องความคิดโดยเฉลี่ยของเขาได้ แล้วอะไร เป็นทางออก เขาให้ปัญหานี้แก่กลุ่มของวิศวกรที่มีประสบการณืน้อยกว่า กลุ่มใหม่พบวิธีการที่จะลดน้ำหนักของบริษัทรถลงหลายร้อยปอนด์ เพราะเขาคิดว่า การแก้ปัญหาทำได้ และมันก็ทำได้ ทุกครั้ง ที่ท่านลบป้ายของงานที่เป็นไปไม่ได้ออก ท่านจะยกระดับศักยภาพจากค่าเฉลี่ยไปสู่ระดับสูงได้ 6. ความคิดเชิงบวก ให้พลัง มีความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างการคิดเชิงบวกและระดับของพลังงานของบุคคล ใครผู้ได้รับพลังจากโอกาสของการสูญเสีย ถ้าท่านรู้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สามารถทำให้สำเร็จ ท่านเต็มใจที่จะให้เวลาและพลังมากเท่าใด ไม่มีใครที่จะไปดูสาเหตุของการสูญเสีย ท่านได้ลงทุนในเรื่องอะไร ที่เชื่อมั่นว่าจะประสบความสำเร็จ เมื่อท่านได้ยึดแน่นต่อความคิดเชิงบวก ท่านเชื่อในสิ่งที่ได้ทำ และมันจะให้พลังแก่ท่าน 7. ความคิดเชิงบวก ทำให้ท่านไม่ยอมแพ้ นอกเหนือจากนี้ทั้งหมด นักคิดเชิงบวก เชื่อมั่นว่าจะประสบความสำเร็จ เดนนิส เวทย์ลี่ ผู้ประพันธ์ “ปรัชญาของการชนะ “ กล่าวว่า “ ผู้ชนะในชีวิต คิดแน่วแน่ในแง่ของ “ ฉันทำได้ ฉันจะทำ และ ฉันจะเป็น “ในอีกด้านหนึ่ง ผู้แพ้ เอาใจจดจ่อความคิดที่ตื่น ในเรื่องที่จะต้องทำ หรืออะไรที่ไม่ได้ทำ ถ้าท่านเชื่อว่าไม่สามารถทำบางสิ่งได้ แล้วมันไม่ได้เกี่ยวข้อง ว่า ท่านได้พยายามแค่ใหน เพราะท่านได้พ่ายแพ้ไปแล้ว ถ้าท่านเชื่อว่า สามารถทำบางสิ่งได้ ท่านก็ได้ชนะสงครามแล้ว คนหนึ่งที่ได้แสดงตนว่า เป็นนักคิดเชิงบวกที่ยิ่งใหญ่ ใน ปี 2544 คือผู้ว่าการฯนิวยอร์ค “ รูดี่ จิเลียนี” ในชั่วโมงต่อการโศกนาฏกรรมอาคารศูนย์การค้าเวิร์ลเทรด เขาไม่เพียงแต่นำเมืองผ่านเหตุของการสูญเสีย แต่เขาได้ปลูกฝั่งความเชื่อมั่น ในทุกคนที่ได้สัมผัส หลังจากนั้นเขาได้ให้ข้อมูลเชิงลึกและมุมมองเกี่ยวกับประสบการณ์ของเขาว่า : ฉันภาคภูมิใจต่อประชานที่ได้เห็นในท้องถนน ไม่มีความวุ่นวาย แต่เขากลัวและสับสน และดูเหมือนว่า ต้องการได้ยินจากใจของฉัน ที่ซึ่งฉันคิดว่า เรากำลังจะไปกัน ฉันพยายามที่จะคิด ที่ซึ่งฉันสามารถไปที่ไหนซึ่งเปรียบเทียบกันกับสิ่งนี้ บทเรียนบางประการเกี่ยวกับการจัดการมัน ดังนั้นฉันเริ่มคิดเกี่ยวกับ เชอล์ชีลล์ เรากำลังจะสร้างสปิริตของเมืองขึ้นมาใหม่ และอะไรที่เป็นตัวอย่างที่ดีกว่า เชอล์ชีลล์และประชาชนลอนดอน ระหว่าง “สงครามสายฟ้า โจมตีทางอากาศอย่าง หนักที่เกิดขึ้นในอังกฤษในปี 2483 “ ผู้ซึ่งได้ยกสปริตรขึ้นมาในระหว่างการทิ้งระเบิดอย่างยาวนาน มันเป็นความคิดที่ปลอบโยนจิตใจ สิบหกชั่วโมงหลังจากเครื่องบินโจมตีตึกในนิวยอร์ค เมื่อ “ จิวเลียนี่ “ กลับไปบ้านพักเมื่อเวลา 02.30 น.เพื่อพักผ่อน แทนที่จะนอนหลับ เขากลับอ่าน “ ประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สอง ในบทของ “ เชอล์ชิลล์ ประวัติชีวิต โดย รอยเจนกิล “ เขาเรียนรู้ว่า วิลตันเชอล์ขิลว์ ได้ช่วยประชาชน ให้เห็นความเป็นไปได้ และทำให้ประชาชนเดินต่อไป ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ จิเลียนี่ทำให้กับประชาชนของเขาในหกทศวรรษต่อมา ( รูดี จิวเลียนี เป็นผู้ว่าการรัฐนิวยอร์คในเหตุการณ์การโจมตีของผู้ก่อการร้ายใน 11 กันยายน 2544 )