แสงไทย เค้าภูไทย ม็อบมุ้งมิ้งชักจะไม่มุ้งมิ้งแล้ว เมื่อกระแสจุดติด ลามไปทั่วประเทศ ลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาลประยุทธ์ที่ล้มเหลวในด้านเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำทางสังคม จนเข้าโซนรัฐล้มเหลว การก่อม็อบและการชุมนุมของม็อบเยาวชนวันนี้เป็นระบบมากขึ้น มีการเน้นประเด็นมุ่งหมายชัดเจนขึ้น ทำให้มีพลังกล้าขึ้น“หอมอร่อยที่สุดก็คือภาษีประชาชน” เป็นเสียงตะโกนร้องสลับเพลงประกอบของภาพยนตร์การ์ตูน “แฮมทาโร” ของญี่ปุ่นที่แปลงเป็นภาษาไทย ซึ่งลงท้ายด้วยการขับไล่ “ประยุทธ์ออกไป ยุบสภา แก้รัฐธรรมนูญ” เป็นรูปแบบการเรียกร้องเชิงสัญลักษณ์ ที่เริ่มกระชับเข้าสู่เป้าหมายหลัก การแพร่กระจายภาพและเสียงผ่านสื่อออนไลน์อันทรงพลังมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ชักชวนผู้คนเข้าร่วมมากขึ้นเรื่อยๆ การขยายแนวร่วม การสะสมความรู้สึกชิงชัง “3ป.”หนาแน่นและหมักหมมมากขึ้นทุกที คือระเบิดเวลาที่รอการระเบิด มิใช่แต่คนในชาติเท่านั้น หากแต่ประชาคมโลกก็จับตามอง ส่งผลถึงภาคเศรษฐกิจที่เป็นปัจจัยสำคัญชี้อนาคตของรัฐบาลชุดนี้ ความไม่เชื่อถือในรัฐบาลและผู้นำรัฐบาลที่สะสมมานานแสดงออกด้วยการลดการลงทุนเก่า ระงับแผนการลงทุนใหม่บริษัทญี่ปุ่นระดับโลก 15 บริษัทย้ายฐานการผลิตจากไทยไปเวียดนาม ขณะที่นักลงทุนไทยพากันลดขนาดกิจการและปิดโรงงาน เหตุมองเห็นอนาคตการเติบโตเศรษฐกิจภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์แล้วว่า จะออกมาในรูปตัว L ชิงปิดกิจการเสียตอนนี้ ก่อนที่จะล้มละลายในปลายปีหรือต้นปีหน้า ขณะที่นักลงทุนต่างชาติพากันถอย เงินทุนไหลออก(capital flight ) ทยอยกันออกไปตั้งแต่ปี 2019 คือไม่ต้องมีโควิด-19 มาซ้ำเติม นักลงทุนก็พากันทิ้งไทยอยู่แล้ว ทั้งในรูปของ Fund flow ในรูปของ Foreign Portfolio Investment (FPI) และในรูปของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ( Foreign Direct Investment : FDI) มูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท เฉพาะ Fund flow นั้นเป็นไปตามฤดูกาลและภาวะตลาด ไม่กระทบเท่าใดนัก ซ้ำมีผลดีที่ทำให้บาทอ่อนค่า แต่สำหรับ FDI ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดุลการชำระเงิน (Balance of payment: BOP) นั้น ส่งผลกระทบแน่นอน เพราะเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากภายนอกตัวหนึ่ง ขณะที่เครื่องยนต์อีก 2 เครื่องคือการส่งออกและการท่องเที่ยวจากต่างประเทศลด หดตัวรุนแรง ตัวเลขดิบของอัตราเติบโตของจีดีพีไตรมาสนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ -3.5% ถึง-5.8% ถ้าหากมีการระบาดของไวรัสระลอก 2 ตัวเลขจะดิ่งลงไปถึง -8% ถึง -10% ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจในปีนี้มีทั้งที่อยู่ในคาดการณ์กับที่อยู่นอกเหนือจากคาดการณ์ โดยมีความสี่ยงใหม่ๆถาโถมเข้ามาเป็นระยะๆ ทั้งภายในประเทศและภายนอก ล่าสุดก็คือการถอนคดีทายาทกระทิงแดงขับรถชนตำรวจตายเมื่อ 8 ปีก่อนออกจากกระบวนการดำเนินคดีที่ก่อเกิดกระแสขุ่นเคืองต่อกระบวนการยุติธรรม ลามไปถึงรัฐบาลและพลแอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานนายกรัฐมนตรี กระทิงแดงที่เป็นสินค้ายอดนิยมตัวหนึ่งของโลกในชื่อ Red Bull เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ ทำให้ก่อเกิดกระแสเกลียดชังรัฐบาลไทยจนถึงกับแอนตี้สินค้าตัวนี้ รวมถึงทีมรถแข่ง Formula I ด้วย ยังไม่รู้ว่าจะลามไปถึงสินค้าแบรนด์ไทยตัวอื่นๆหรือไม่ เพราะฝรั่งจ้องจะเล่นงานสินค้าไทยด้วยข้อหาที่คาดไม่ถึงเป็นประจำ อย่างกรณีกะทิที่ทำจากมะพร้าวซึ่งฝรั่งมองว่าเป็นการทรมานสัตว์โดยใช้ลิงเก็บมะพร้าวเป็นต้น กว่าจะแก้เรื่องนี้ได้ก็เหงื่อตก ส่วนกรณีเร็ดบุลนี้ แม้ในประเทศรัฐบาลจะแก้ไขได้ แต่คงจะอธิบายให้ฝรั่งเข้าใจได้ยาก อย่าว่าแต่ฝรั่งเลย คนไทยด้วยกันเองก็จะยังค้างคาใจกันไปอีกนาน ส่งผลถึงการขาดความเชื่อถือในรัฐบาล รวมทั้งความเชื่อมั่นทุกด้าน ดังที่โพลทุกสำนักสรุปตรงกันว่า ความเชื่อมั่นในรัฐบาลชุดนี้อยู่ในขั้นวิกฤติศรัทธา ความเชื่อมั่นในรัฐบาลถือเป็นมาตรชี้วัดทุกด้าน ทุกมิติ ที่จะเป็นตัวสั่นคลอนรัฐบาลที่สำคัญที่สุด ทำให้มีความสุ่มเสี่ยงต่อภาวะล้มเหลวทางการบริหารประเทศจนอาจกลายเป็นรัฐล้มเหลว(failed state) ในการจัดอันดับความเสี่ยงของการเป็นรัฐล้มเหลวของ Failed States Index ปีที่ผ่านมาไทยอยู่อันดับ 82 ของโลก ที่แม้จะดีขึ้นจากระดับ ไม่ถึง 70 ก่อนหน้านี้ แต่เป็นเพราะชาติตะวันออกกลางและอเมริกาใต้แข่งกันเป็นรัฐล้มเหลวในอันดับต้นๆ โดยซีเรียเป็นอันดับที่ 1 ผลักไทยลงมาอยู่อันดับล่างๆ แต่เมื่อดูค่าอัตราความเสี่ยง (FSI) กลับไม่ต่างไปจากปีก่อนคือ 70.8 แสดงว่าย่ำอยู่กับที่ ไม่ดีขึ้น มาเจอแด็กชุมนุมขับไล่ เจอกระทิงแดงขวิด เจอโควิด-19 อ้อยอิ่ง ดิ่งลงขนาดนี้ ยังไม่พอ ยังอาจจะมีงานจรมาอีก คนเรานั้น โบราณว่า ยามดวงตก อะไรๆมันก็ประดังมาถมทับไม่รู้จบ ตอนนี้ หากยังคิดถึงคำพูดของป๋าเปรมต่อหน้าบรรดานายพลทั้งกองทัพที่ยกขบวนกันไปอวยพรวันเกิดท่านเมื่อ 2 ปีก่อนท่านจะถึงอนิจกรรมได้ ก็น่าจะรีบถอยให้พ้นความตกต่ำเสีย ท่านว่า “ถอยเถอะ กองหนุนหายไปเยอะแล้ว” เหลียวดูรอบๆตัว จะเห็นสมตามที่ท่านเตือนไหม ?