พีร์ พงศ์พิพัฒนพันธุ์ เมื่อก่อนพอได้ยินคนกล่าวประโยคว่า “ถ้าคุณคิดว่าไม่ชอบอเมริกาก็ควรกลับประเทศของตัวเองไป (ซะ) อย่าอยู่ที่นี่เลย” ผมรู้สึกเฉยๆ  แต่มาวันนี้ผมกลับคิดว่าคำพูดประโยคนี้ไม่ธรรมดา แถมมีแง่มุมให้คิดอยู่ไม่น้อยที่ว่า “ไม่น้อย” เพราะสถานการณ์อะไรๆ ต่างๆ ได้เปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะสถานการณ์การเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ แต่มีผู้คนเชื้อสายต่างด้าว โดยเฉพาะคนเชื้อสายไทยที่แสดงออกว่า พวกเขาไม่พอใจ “ระบบอเมริกัน”ขณะที่พวกเขากำลังอยู่ท่ามกลางระบบหรือสังคมอเมริกันและพวกเขาดิ้นรนแสวงหาช่องทางเพื่อมาทำมาหากินและใช้ชีวิตอยู่ที่นี่กันอย่างยากลำบาก ทั้งโรบินฮู้ดและมิใช่โรบินฮู้ดน่าแหละ หากแท้จริงแล้ว สถานการณ์ปัจจุบันที่แสดงว่าโลกมีความเป็นหนึ่งเดียว และเป็นสังคมข้อมูลข่าวสาร น่าจะทำให้คนเชื้อสายต่างด้าว (immigrants) ผู้อาศัยอยู่ในอเมริกาจำนวนมากสมควรมีทางเลือกเป็นของตนเองโดยอิสระ ตามที่ตนเองชอบมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น หากพวกเขาผู้พร่ำบ่นด่าทอไม่พอใจระบบอเมริกันอย่างนี้ ก็แพ็คกระเป๋ากลับประเทศของตนไปเสีย (สิ) เวียดนามมิส ก็กลับเวียดนาม ฟิลิปปินโน ก็กลับฟิลิปปินส์ ไทยก็กลับไทยแลนด์ หรือแม้แต่ความระบบอเมริกันไม่พอใจด้วยการแบน (ban) สถานที่และสินค้าอเมริกันก็ยังได้ คือ อย่าไปใช้สินค้ายี่ห้ออเมริกัน    อย่างเช่น หากเป็นผู้ที่อยู่แถบนิวยอร์ค และชอบช้อปปิ้งแถวไทม์สแควร์ ก็ควรหันหลังให้ย่านการค้าดังกล่าวเสีย หรือหากเป็นผู้คนที่อยู่ย่านนครแอล.เอ. ก็อย่าใส่ใจต่อย่าน Beverly hill อะไรให้มากนัก อย่างน้อยคนที่ไม่พอใจระบบอเมริกันเหล่านี้ก็ควรหันไปซื้อสินค้าจากญี่ปุ่น หรือซื้อสินค้าจากจีน หรือจากเอเชีย แทนการซื้อสินค้าอเมริกัน เพราะทุกวันนี้มีสินค้าเหล่านี้มาวางขายในอเมริกาจำนวนมาก การมองอเมริกันแบบ “อเมริกันอักลี่” (American ugly) เป็นความไม่พอใจ คับข้องใจ หรืออึดอัดใจของคนเชื้อสายต่างด้าวกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในอเมริกา สำหรับเชื้อชาติอื่นผมไม่ทราบ แต่ผมคิดว่าเชื้อชาติไทยน่าจะมีจำนวนคนที่มองอเมริกันแบบ “อักลี่” เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในระยะของความขัดแย้งทางการเมืองในเมืองไทยช่วงที่ผ่านมา และแม้แต่ที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้ หลักฐานที่พบจำนวนมากส่วนหนึ่งก็คือ หลักฐานในโซเชียลมีเดียประเภทต่างๆ ทั้ง เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ ฯลฯ กลุ่มคนไทยเหล่านี้อาจยังเอาแน่เอานอนในเรื่องความเป็นอเมริกันในประเทศอเมริกา ไม่ได้ คือ พวกเขาไม่ทราบว่า รัฐอเมริกันและความหมายของอเมริกันคืออะไร โดยเฉพาะความหมายเชิงอุดมการณ์การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ทุนนิยมเสรี พวกเขาจำนวนไม่น้อยถึงกับเกลียด “ลักษณะความเป็นทุนนิยมแบบอเมริกัน” อย่างเข้าไส้ แต่พวกเขาก็รับค่าตอบแทนเป็นเงินยู.เอส.ดอลลาร์ และมีลักษณะการทำงานเพื่อผลตอบแทนแบบอเมริกัน   และก็เป็นกลุ่มคนไทยกลุ่มเดียวกับคนไทยผู้อาศัยอยู่ในอเมริกาที่สร้างโรงประกวด (show) วัฒนธรรมไทยขึ้นในอเมริกา ที่นี่ (อเมริกา) พวกเขาถวิลหาความเป็นไทยกันขนานใหญ่  อีกทั้งเรียกร้องให้ผู้นำและนักการเมืองอเมริกัน จงอย่าได้ไปยุ่งกับการเมืองหรือด้านอื่นๆ ของประเทศไทย เพราะเมืองไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งมาก่อนหรือบางทีอาจเป็นสถานทูตไทยและสถานกงสุลไทยในอเมริกา ที่คนไทยจำนวนหนึ่งเหล่านี้คิดว่า หน่วยงานที่เป็นตัวแทนอำนาจรัฐไทยสามารเป็นที่พึ่งหลักให้กับพวกเขาในยามประสบปัญหาต่างๆ ได้ พวกเขาที่จะต้องใช้หน่วยงานของรัฐไทยไว้อ้างอิงเผื่อฉุกเฉิน เมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นที่เมืองไทย รวมทั้งการพลอยร่วมยินดีและการพลอยชม จึงนำมาซึ่งเหตุผลของการไม่ยอมเรียนรู้วัฒนธรรมอเมริกัน โดยเฉพาะวัฒนธรรมภาษา ดังที่ชัญชนิฐ มาเทอร์เรลล์ ผอ.ศูนย์ส่งเสริมชาวไทย(ไทยซีดีซี) เคยกระซิบเบาๆ ให้ผมฟังในเรื่องน่าประหลาดว่า “คนไทยในอเมริการาว 80 เปอร์เซ็นต์ ไม่รู้ภาษาอังกฤษ” คนไทยเหล่านี้มองความเป็นส่วนตัวสูงของอเมริกันว่า มันคือการเห็นแก่ตัวอย่างหนึ่ง มองเสรีภาพในแบบอเมริกันว่าเป็นเสรีภาพจอมปลอม เพราะระบบอเมริกันเข้มงวดเรื่องการปฏิบัติตามกฎหมาย ชนิดที่เรียกได้ว่า เข้มงวดอย่างถึงที่สุด มองเศรษฐีอเมริกันว่า นี่คือช่องโหว่ช่องเบ้อเริ่มระหว่างคนรวยกับคนจน มองวัฒนธรรมอเมริกันว่า เป็นวัฒนธรรมบริโภคนิยม มองนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลอเมริกันว่า มุ่งประโยชน์ต่อบริษัทและคนอเมริกันเป็นที่ตั้ง ที่สำคัญคือมองการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลและเอกชนอเมริกันว่า เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น และเป็นการทำลายอัตลักษณ์ของประเทศนั้นๆ มองสื่ออเมริกันว่า เป็นสื่อที่ไม่มีความเป็นอิสระอย่างแท้จริง เป็นแต่เพียงสื่อโฆษณาชวนเชื่อให้ประเทศและรัฐบาลของตัวเอง มองว่าอเมริกันส่วนใหญ่ไร้ศาสนา คนอเมริกันจึงไร้ศีลธรรมและทำให้โลกฉิบหาย กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่รัฐบาลอเมริกันถือหุ้นใหญ่ซึ่งเคยช่วยเหลือเศรษฐกิจไทยและจะช่วยอีกครั้งเป็นองค์กรชั้นเลวเอาเปรียบและทำร้ายประเทศไทย ฯลฯ .....ประมาณนี้ ก็คงเหมือนคนนานาชาติโดยทั่วไปที่อาศัยอยู่ในอเมริกาด้วยวัตถุประสงค์ต่างๆ นานา ของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเพื่อการทำมาหากิน เพื่อการศึกษา หรือแม้กระทั่งเพื่อการเป็นตัวแทนของประเทศในฐานะเจ้าหน้าที่หรือพนักงานของรัฐ ซึ่งกลุ่มคนพวกหลังย่อมหมายถึง “ข้าราชการ” ที่เป็นตัวแทนของประเทศไทยจากหน่วยงานต่างๆ เพราะทุกวันนี้เรามีข้าราชการจากกระทรวงต่างๆ จากกรุงเทพ มาประจำอยู่ในอเมริกาจำนวนมาก โดยมิได้จำกัดว่าเป็นข้าราชการสังกัดกระทรวงการต่างประเทศเพียงหน่วยงานเดียว ผมเข้าใจว่า “ปูมหลัง” ของแต่ละคน เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พวกเขามีความคิดเห็นต่อความเป็นอเมริกันหรือรัฐอเมริกันแตกต่างกันออกไป  จากการพูดคุยกับคนไทยในอเมริกาหลายคน ความคิด “อเมริกันอักลี่” มีอยู่แทบทุกคน แต่ผมกลับแปลกใจที่พนักงานของรัฐหรือข้าราชการไทยที่นี่ มอง “อเมริกันอักลี่” (น่าจะ) มากที่สุด ทั้งๆ ที่พวกเขาเหล่านี้ต่างขวนขวายที่จะมาเป็นตัวแทนของรัฐไทยในอเมริกากันมาก่อน หน้านี้ เพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลและครอบครัว มุมมองของข้าราชการไทยในอเมริกาบางคนไปไกลถึงขนาดมองว่า คนอเมริกันเป็นผู้ที่เห็นแก่ตัวมาก เพราะโดนความเป็นทุนนิยมบังคับให้ต้องเห็นแก่ตัว (โทษทุน) และมองว่าสังคมอเมริกันเต็มไปด้วยความน่าอึดอัด พลเมืองอเมริกันพูดไม่ออกและต้องทนยอมรับสภาพชีวิตไปวันๆ  ก็ดูอย่างพวกนิวยอร์คสิ !!! ต้องอยู่ท่ามกลางความเร่งรีบ เคร่งเครียด เพื่อความไม่มีอะไรในชีวิต นอกเสียจากวัตถุนิยม น่าประหลาดและน่าเสียดายที่ข้าราชการจำนวนมากเหล่านี้ กระทำในสิ่งย้อนแย้งกับความคิดของตนเอง คือ ข้าราชการที่มาทำงานในอเมริกาส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากย้ายที่ทำงานจากอเมริกาไปประเทศอื่น หรือแม้กระทั่งย้ายกลับเมืองไทย การย้ายมาทำงานในอเมริกาถือว่าเป็นสิ่งดึงดูดมากกว่าประเทศอื่น ข้าราชการบางคนเตรียมปักหลักในอเมริกาหลังเกษียณอายุราชการแล้วก็มี ขณะปากกำลังพร่ำบ่นถึงความเลวร้ายของระบบอเมริกันทั้งองคาพยพก็ตาม อย่างไรก็ตามข้อที่น่าสังเกตก็คือว่า ข้าราชการไทยเหล่านี้แทบไม่เคยพูดถึงระบบ “ช้างเหยียบนา พระยาเหยียบเมือง” ซึ่งเป็นระบบอุปถัมภ์แบบไทยๆ ในอเมริกาที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่เท่าใดนัก โดยเฉพาะในช่วงของการเดินทางมาเยือนอเมริกาของข้าราชการชั้นสูงจากเมืองไทยที่พวกเขาต้องให้การต้อนรับพินอบพิเทา รับรองต้อนรับในการมาดูงานและการประชุมแต่ละครั้งของพระยาช้างเหล่านี้ ในส่วนของคนไทยในอเมริกาที่มองว่า ความเป็นอเมริกันนั้นน่าเกลียดน่าชัง  (โดยเฉพาะสาเหตุจากการที่อเมริกันไปยุ่งหรือแทรกแซงเรื่องเมืองไทยมากเกินไป) ส่วนใหญ่พวกเขาก็ส่งลูกหลานเรียนในโรงเรียนของอเมริกันกันทั้งนั้น ไม่เห็นมีใครส่งลูกหลานไปฝึกวัฒนธรรมไทย เรียนหนังสือที่เมืองไทยหรือวัดไทยในอเมริกากันอย่างเอาจริงเอาจังแต่อย่างใด ไม่รวมถึงพวกที่ทำงานในสมาคมไทยต่างๆในรัฐต่างๆ ที่ส่วนใหญ่มักจัดกิจกรรมรำลึกถึงความหลังในเชิงการคร่ำครวญถวิลหาอดีตของเมืองไทย ซึ่งล้วนแต่ต้องไปจดทะเบียนหรือหาช่องทางทำธุรกิจกับรัฐบาลท้องถิ่นแต่ละรัฐหรือเอกชนในอเมริกาแทบทั้งสิ้น ต่างไม่อยากจะดีลกับคนไทยด้วยกันเอง ไม่เว้นแม้แต่คนไทยบางคนที่ทำธุรกิจ “ค้าวัฒนธรรมไทย” จัดทัวร์เยาวชนหรือทัวร์ผู้ใหญ่ก็ตาม หารายได้เข้ากระเป๋า แต่แล้วรายได้ดังกล่าวก็เป็นสกุลเงิน ยู.เอส.ดอลลาร์อีกเช่นกัน หากที่จริงแล้วการมอง American ugly นั้น มิใช่เพียงแต่คนเชื้อสายต่างด้าวมองอเมริกัน หากคนอเมริกันเองก็มองว่าระบบอเมริกันมีอะไรๆ ที่ ugly อยู่มากเช่นกัน ดังในเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจที่มีการถกกันมากเกี่ยวกับช่องว่างของรายได้ระหว่างคนรวยกับคนจน เพียงแต่การถกปัญหาดังกล่าวไม่ได้อยู่บนพื้นฐาน “ความไม่เป็นอเมริกัน” เหมือนบรรดาเชื้อสายต่างด้าว รวมถึงไม่มีลักษณะของการวิพากษ์แบบย้อนแย้ง “เกลียดตัวกินไข่ กลียดปลาไหลกินน้ำแกง” แต่อย่างใด หากเป็นการวิพากษ์เพื่อให้เห็นทางแก้ปัญหาโดยตัวคนอเมริกันที่ได้รับผลกระทบเอง เช่น การอาศัยกลไกการเมืองประชาธิปไตยเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการแก้ไขปัญหา ไม่ใช่ถูกปิดปากไม่ให้พูดหรือวิจารณ์รัฐบาลไม่ได้เอาเสียเลยเหมือนประเทศเผด็จการบางประเทศที่กำลังทำสถิตการทำรัฐประหารแข่งกับประเทศแอฟริกาและประเทศละตินอเมริกา บางทีอาจเพราะเชื้อสายไทยเราสูงเกินความเป็นคนธรรมดาในแบบฉบับอเมริกัน โถ...ก็ขนาดตัวประธานาธิบดีอเมริกันเอง ยังมาจากนายอะไรก็ไม่รู้ ไร้เชื้อไร้แถว ....กาฬทวีป... ผู้ที่ไม่มีหัวนอนปลายตีน!!! ความเป็นคนธรรมดาของอเมริกันจึงกลายเป็นเรื่องน่าเกลียดสำหรับคนไทยในอเมริกากลุ่มนี้ไปได้...