แสงไทย เค้าภูไทย ม็อบดาวกระจายคณะราษฎรยังเดินหน้าชุมนุมกันต่อ แม้นายกฯจะมีท่าทีอ่อนลงพร้อมเจรจา ขณะที่สภาฯเปิดสมัยประชุมวิสามัญหาทางออก แต่มีปัญหาว่า จะเจรจากับใครในม็อบเพื่อยุติความเคลื่อนไหว เพราะยังไม่รู้ตัวบงการและผู้สนับสนุนม็อบตัวจริง เพราะขณะนี้แต่ละม็อบไม่มีแกนนำ เหตุแกนนำตัวจริงพาเหรดเข้าคุกกันหมด แกนนำระดับรองๆในแต่ละม็อบ ต่างก็ไม่มีวุฒิภาวะพอจะเจรจากับฝ่ายรัฐบาลได้ จึงอาจแค่ยื่นข้อเรียกร้องให้ทั้งรัฐสภาฯและรัฐบาลนำไปพิจารณา ตัดสินใจ ถ้าการตัดสินใจของสองอำนาจหลักไม่เป็นที่พอใจ ก็จะออกมาประท้วงกันใหม่ มีการเอ่ยอ้างถึงผู้หนุนหลังม็อบจากต่างชาติซึ่งมุ่งไปที่สหรัฐอเมริกา โดยตั้งสมมติฐานว่า สหรัฐฯต้องการยึดไทยเป็นฐานต่อต้านจีนในอาเซียน อาจจะมีส่วนบ้าง แต่ไม่ใช่โดยตรง เพราะองค์กรที่สนับสนุนฝ่ายต่อต้านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้น ส่วนใหญ่เป็นองค์กรระหว่างประเทศ เช่นองค์กรสิทธิมนุษยชน องค์กรนิรโทษกรรมระหว่างประเทศ ฯลฯ องค์กรเหล่านี้ สหรัฐฯเป็นชาติที่บริจาคเงินลงขันให้มากที่สุด จนดูคล้ายกับสหรัฐฯเป็นเจ้าของ แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว สหรัฐฯไม่ชอบรัฐบาลพลเรือนของไทยนัก เหตุจากสมัยทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ เคยมาจุ้นจ้านสั่งโน่นสั่งนี่ เลยโดนทักษิณด่ากลับว่า “อเมริกาไม่ใช่พ่อ(กู)” ต่างจากรัฐบาลทหาร อย่างกรณีพลเอกประยุทธ์ ที่เกิดและ เติบโตมาในช่วงสงครามเกาหลีที่ไทยส่งทหารไปร่วมประจำการกับทหารพันธมิตรที่เส้นขนานที่ 17 เป็นนายทหารระดับคุมกำลังในช่วงหลังสงครามเวียดนาม ความผูกพันกับกองทัพอเมริกามีมากจนถึงกับเรียกได้ว่าสหรัฐอเมริกาเลี้ยงกองทัพไทยทุกเหล่าทัพมาตั้งแต่สงครามเย็น แม้ปัจจุบันนี้ ความผูกพันนั้นก็ยังมีอยู่ เห็นได้จากกองทัพไทยส่งทหารไปฝึกที่ฮาวาย เมื่อกลับมาต้องถูกกักตัว 14 วัน ขณะที่ทหารอเมริกันที่มาฝึกซ้อมร่วมรบกับทหารไทย 110 นายขอใช้สิทธิพิเศษไม่ยอมกักตัว 14 วัน จนเกิดการโวยวายกันขึ้น ลงท้ายต้องยอมรับ แต่ละปีมีการฝึกร่วมเช่นคอบร้าโกลด์ รามสูร เป็นต้น ซ้อมรบกันจบแล้ว ทหารอเมริกันกลับบ้านตัวเปล่า ทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์ที่นำมาร่วมซ้อมรบให้ทหารไทยทั้งหมด ส่วนกับจีนนั้น ความสัมพันธ์ในด้านทหาร เป็นไปในลักษณะการซื้ออาวุธมากกว่า ดังเห็นได้จากการที่มีหน่วยจัดซื้อ 20 นายไปอยู่ประจำที่จีน คนไทยมารู้ว่ามีทหารฝ่ายจัดซื้ออาวุธจากไทยก็เมื่อตอนที่กองทัพไทยส่งเครื่องบินไปรับกลับช่วงโควิด-19 ระบาดหนักที่อู่ฮั่น การที่ไทยไม่มีความผูกพันกับจีนทางการทหารอย่างแนบแน่นเหมือนกับสหรัฐนั้น เหตุจากยังฝังใจว่า จีนยังคงนโยบายแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์อยู่ ขณะที่เวียดนามปลดแอกจีนมานานแล้ว กลายเป็นทุนนิยมเต็มตัว แม้ครั้งหนึ่งจะเคยถูกจีนทำ “สงครามสั่งสอน” ฐานไม่อยู่ในโอวาท กับกัมพูชา จีนก็ไปสร้าง “มินิไชน่า”ที่สีหนุวิลล์ รวมทั้งครอบงำเศรษฐกิจ แทบจะทุกด้าน ล่าสุดซื้อข้าวจากกัมพูชามากกว่าซื้อจากไทย การสกัดกั้นอิทธิพลจีนในอาเซียนนั้นสหรัฐฯห่วงแต่ฟิลิปปินส์ที่มีอาณาเขตอยู่ในทะเลจีนใต้โดยตรงเท่านั้น ส่วนเวียดนามนั้น ยังคงเป็นไม้เบื่อไม้เมากับจีนจากสงครามในอดีตอยู่ สหรัฐฯจึงให้ความสำคัญต่อเวียดนาม การเจรจาระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์กับประธานาธิบดีคิม จอง อึน แห่งเกาหลีเหนือครั้งหลังสุดจึงใช้เวียดนามเป็นสถานที่เจรจาเพื่อเอาใจเวียดนาม ต่างจากไทย ที่ทรัมป์ให้ความสำคัญเฉพาะผู้นำคนเดียว คือพลเอกประยุทธ์ ที่พอยึดอำนาจได้ ก็ได้รับเชิญให้ไปเยี่ยมเยือนถึงทำเนียบขาว คุยกับเผด็จการคนเดียวรู้เรื่องดีกว่าคุยกับคนทั้งสภาฯ สหรัฐฯ โดยเฉพาะทรัมป์ จึงชอบที่จะให้ไทยเป็นรัฐบาลเผด็จการทหารมากกว่าเป็นรัฐบาลพลเรือน จึงยังต้องจับตากันว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดี 3 พฤศจิกายน ศกนี้ จะเป็น game changer หรือไม่หาก โจ ไบเดน ชนะเลือกตั้ง ?