ชัยวัฒน์ สุรวิชัย วาทกรรม “ รธน.มีชัย และคำถามพ่วง ที่ผ่านประชามติ 7 สิงหา 59 ทำให้การเมืองไทยถอยหลัง “ฟังเพลินๆ ดูแล้ว น่าสนใจ น่าตื่นเต้น เพราะคนไทยทุกคนห่วงบ้านเมือง ยิ่งผู้พูดมีหลากหลาย ทั้งนักการเมือง นักวิชาการ นักสิทธิฯ ที่มีบทบาทและชื่อเสียงในสังคม ก็ยิ่งน่าเพิ่มความเชื่อถือขึ้น และมีส่วนทำให้ “ วาทกรรมดังกล่าว “ มีน้ำหนัก แต่อีกมุมหนึ่ง หากเราดูประวัติ และสิ่งที่ “ คนเหล่านี้ “ ทำมา ก็จะพอมีข้อน่าสังเกต เป็นลักษณะที่นักปราชญ์บอกเราว่า “ การกระทำ สำคัญกว่า คำพูด “ 100 พูด ไม่เท่ากับ 1 ทำ เรามาพิจารณาดูกันดีกว่า โดยเอาคำพูด 100 คำ และ 100 การกระทำ ของพวกเขามา เจียระไนดูกัน คสช. รัฐบาลประยุทธ์ ไม่ได้ทำอะไรให้กับประชาชนและประเทศชาติ มีแต่สร้างปัญหา ชาวบ้านเดือดร้อน นักธุรกิจ ก็มีปัญหา นักการเมือง ก็ไม่พอใจ ฯลฯ การเมืองติดขัดล้าหลังถอยหลังเข้าคลอง เศรษฐกิจก็ไม่ดี สังคมก็วุ่นวาย ต่างประเทศไม่พอใจ นักศึกษาประท้วง นักสิทธิบอกรัฐบาลลิดรอนสิทธิ ผู้นำชาวบ้านเดือดร้อน นักการเมืองหาเสียงไม่ได้ 1. นักการเมืองดี ทำประโยชน์ต่อบ้านเมือง ชาวบ้านพอใจ นโยบายประชานิยม ฯลฯ ชาวบ้าน ต้องการ นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะเข้าถึงตัวพบหาสะดวก 2. นักสิทธิ ดี ต่างประเทศชื่นชม เพราะได้ทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลทหาร และข้าราชการฯ 3. นักวิชาการ ได้ทำหน้าที่เสนอความคิดเห็น วิจารณ์รัฐบาลและทหารอย่างตรงไปตรงมาสร้างสรรค์ 4. นักการเมืองนักวิชาการ นักสิทธิฯ พูดตรงกันใช้คำเดียวกัน “ รัฐบาลทหารโกง ทำให้ประเทศชาติมีวิกฤต “ 5. มีอีกมากมาย รวมกันแล้ว อีก 95 ข้อ รวมเป็น 100 พอดี 555 จะตอบ คำพูด ที่ดูดี หลายร้อยหลายพันคำ เอามาชั่งได้เป็นตัน แต่ขาดน้ำหนักของความจริง มีไม่ถึง กิโลกรัม ผม และผู้คนในสังคม กว่า 60 % ของผู้มาใช้สิทธิประชามติ ที่ชนะ ฝ่ายไม่รับ คงไม่ต้องเสียเวลาตอบ 1. เอา นักการเมือง ที่มีประวัติดี ผู้คนยอมรับ เป็นคนตอบ ในบางประเด็น“ ผมเห็นว่า คสช.และกองทัพ ที่ทำรัฐประหารครั้งนี้ เป็นการทำเพื่อประชาชนและประเทศชาติเพราะ ได้เข้ามาแก้ไขวิกฤตของชาติ ที่มาจากนักการเมือง และความขัดแย้งของประชาชนทำให้เหตุการณ์สงบลง และบ้านเมืองเดินต่อไปได้ “ อยากทราบว่า เป็นใคร ต้องไปถามคนในปชป.ภาคใต้ จังหวัดตรัง ที่เป็นอดีตหัวหน้าและนายกรัฐมนตรีนี่ไม่นับนักการเมืองปชป. จำนวนไม่น้อย ที่มาร่วมกับกำนันสุเทพฯ ขับเคลื่อนกปปส.และรับรัฐธรรมนูญ 2. ส่วนนักวิชาการ ก็จะขอนำข้อเขียนของดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ นักวิชาการระดับแนวหน้าของประเทศพอผลการลงประชามติออกมา ผมคิดว่าเราก็ควรจะเรียนรู้จากสิ่งที่ประชาชนคิดจริงๆ เพราะก่อนหน้านี้เราก็คิดจากอุดมการณ์ คิดจากประสบการณ์ คิดจากความมุ่งมั่นอะไรของเรา แต่ทีนี้ประชาชนให้ความเห็นอย่างนี้ออกมา ผมว่าน่าจะต้องเคารพประชาชน และต้องมาคิดให้เป็นบทเรียนในการสอนเราพรรคการเมืองบางพรรคอย่างน้อยก็สองพรรคใหญ่ก็ต้องคิดว่าตนนำประชาชนไม่ได้ “ประชาชนที่ลงประชามติไม่ได้ลงตามผู้นำพรรค ผู้ใหญ่พรรค อย่างภาคใต้ ประมาณ 80% ลงรับ ในขณะที่ผู้ใหญ่ของพรรครวมทั้งผู้ใหญ่รุ่นอาวุโสมากๆ บอกว่าไม่รับ มันก็เป็นอะไรที่เราควรจะต้องเรียนรู้“สำหรับนักประชาธิปไตยก็ต้องคิด ประชาชนดูเหมือนจะยอมรับการทำงานของ คสช.ในรอบสองปี 3. เอามวลมหาประชาชนเรือนล้านๆ ที่มาเดินขบวนใหญ่ ประกาศ ไม่เอานักการเมืองเก่า ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง 4. ดูผลจากโพล ส่วนใหญ่ที่ออกมาในแต่ละช่วง ประชาชนชื่นชมผลงานรัฐบาลประยุทธ 70-80 % 5. ดูจากความเห็นของประชาชน 16 ล้านที่ไปลงประชามติ 7 สิงหาคม เห็นถึงความมุ่งมั่นในการทำงานตามโรดแมป มีทิศทางในการทำงานที่ชัดเจนเป็นระบบ 78.31% รัฐบาลและคสช.สามารถดำเนินงานตามโรดแมปได้สำเร็จตามระยะเวลาที่กำหนด 79.53% เป็นโรดแมปที่ดี สามารถแก้ปัญหาและทำให้บ้านเมืองมีเสถียรภาพมากขึ น 71.17% กลับมาดู ผลงานของนักการเมืองที่ผ่านมา วิกฤตและความเสียหายที่เกิดขึ้นมาในรอบ 10 ปี เป็นฝีมือการบริหารระดับเซียนของนักการเมือง โกงงบประมาณประเทศชาติ เป็นหลายล้านล้านบาท เฉพาะโกงข้าว ก็ 5 แสนล้านบาทแล้ว การใช้อำนาจบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ แก้ไขกฎหมาย แก้รธน. เพื่อช่วยเหลือ นายใหญ่คนเดียว ไม่เคยปฏิรูประบบข้าราชการ ตำรวจ อัยการและขบวนการยุติธรรม ให้เกิดผลดีเป็นธรรมแก่ประชาชนไม่มีการปฏิรูประบบและโครงสร้างทางการเมือง เพื่อให้ได้คนดีมาบริหารประเทศชาติ ไม่มีการสร้างคุณภาพของประชาชน เพราะเกรงว่า “ ถ้าประชาชนมีคุณภาพ นักการเมืองโกงจะเข้ามาไม่ได้ เรื่องตอนต้น เป็นเรื่องราวของนักการเมืองไม่ดี ส่วนเรื่องตอนหลัง ก็เป็นเรื่องของนักการเมืองทั้งหมด ที่เคยเป็นรัฐบาล อ้อ พรรคใหญ่ทั้งสองพรรค ก็มีความเห็นร่วมกัน คือ “ ไม่รับรธน. ปราบโกง ลดอำนาจนักการเมือง” สรุปได้ชัดว่า “ คำพูด 100 คำ มีน้ำหนักเบาหวิว เหมือนนุ่น เมื่อเทียบกับการกระทำที่หนักดังภูผา “ เป็นการโกหกตอแหล ที่ใช้หลอกประชาชนและหลอกตัวเอง จนเชื่อสนิท แต่ผลของล ประชาชนมติ 7 สิงหา 59 แสดงว่า “ ประชาชนตื่นแล้ว แต่นักการเมืองนักวิชาการยังไม่ตื่น” วาทกรรรม “ รธน. 7 สิงหา ทำให้บ้านเมืองถอยหลัง “ ยังมีเรื่องที่จะต้อง มาฟอกกันต่อ ด้วยกระดาษทรายNo.5 1. นักการเมืองขับรถยนต์วิ่งไปอย่างรวดเร็ว ผู้รู้ได้เรียกให้หยุด เพื่อเตือนว่า “ คุณขับไปผิดทาง “แต่นักการเมือง ไม่ยอม เพราะมีอคติว่า “ ผู้รู้ ไม่ชอบไม่พอใจนักการเมือง จะทำให้เสียเวลาทำมาหากิน “แต่ไม่รู้ว่า “ ไปทางผิด เพราะเป้าหมายจะไปหัวหิน กลับขับไปทางเหนือ ไปทางอิสาน “ 2. ที่บอกว่า“ ทำให้บ้านเมืองถอยหลัง แต่การไปข้างหน้า จะต้องทำอย่างไร ทำไมไม่บอก ไม่ถามประชาชน “ไปข้างหน้า คือ ไปไหน ประชาธิปไตยแบบตะวันตก ที่นักการเมืองโกงไม่ได้ ข้าราชการรับใช้ประชาชน นักธุรกิจมีธรรมาภิบาลระบบและกระบวนการยุติธรรม มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม ไม่แพง รวดเร็ว ทำให้เกิดความเสมอภาคฯ ประชาชน มีคุณภาพ มีการรวมกลุ่ม มีกำลังพอที่จะตรวจสอบถ่วงดุล และเลือกนักการเมืองที่ดีได้ ทำไม นักการเมืองไทย ไม่สามารถทำแบบตะวันตก ที่เป็นประเทศประชาธิปไตยได้ 3. การไปข้างหน้าของเขา คือ ไปถึงและเอาผลประโยชน์ก่อน และเอามาจากประชาชนที่ขาดคุณภาพ ทำให้นักการเมือง เป็นอาชีพที่ทำมาหากินสร้างเนื้อสร้างตัวสร้างฐานะของนักการเมืองที่ไม่มีทางขาดทุนทำให้นายุทนสามานย์ที่เข้ามาเป็นเจ้าของพรรค ร่ำรวยล้านล้าน จากการคอร์รับชั่นเชิงนโยบายฯทำให้ประเทศเกิดวิกฤต ชาวบ้าน คนเมือง พ่อค้าฯ เดือดร้อน แต่นักการเมืองร่ำรวย มีอำนาจฯทำให้ประชาชน ไปไม่ถึงประชาธิปไตยที่ประชาชนมีอำนาจเหนือกว่า นักการเมืองข้าราชการทุนผูกขาด 4. การถอยหลัง มีหลายประเด็นที่จะต้องพูดกันให้เข้าใจ ไม่ถูกหลอกโดยนักการเมืองและสมุนบริวารนักการเมืองและกลุ่มทุนสามานย์ ถอยออกมาจากอำนาจรัฐ ไม่มีอำนาจเหนือข้าราชการตำรวจอัยการฯคดีฉ้อโกง และคดีที่ถูกศาลฎีกาตัดสิน จะต้องนำตัวคนผิดคนหนีไปต่างประเทศ มาลงโทษจำคุกยึดทรัพย์ให้นักการเมือง กลับมาตั้งต้นที่ เลขศูนย์ ที่เป็นเครื่องหมายแห่งความดีของนักการเมืองที่รับใช้ประชาชนให้นักวิชาการ ซื่อสัตย์ต่อวิชาการ ศึกษาทำความเข้าใจข้อเท็จจริง ไม่รับใช้นักการเมืองไม่ดี แม้จะรวยให้นักสิทธิฯ ได้เข้าใจถ่องแท้เรื่องสิทธิของประชาชน สิทธิของปัจจเก ต้องเอาสิทธิของส่วนรวมมาก่อนให้สื่อ ได้มีจรรยาบรรณ มีสำนึกความรับผิดชอบต่อตนเองบ้านเมือง และมีพื้นฐานความรู้ที่ดีถูกต้อง การถอยหลัง เป็นเรื่องง่ายของชาวบ้าน เพราะยอมถอยให้กับนักการเมืองข้าราชการและกลุ่มทุนมาตลอด แต่เป็นเรื่องยากของนักการเมืองและกลุ่มทุนสามานย์ ที่เดินหน้าไม่หยุด ในการหากินแสวงหาอำนาจฯ คนตะกละกินมูมมามมาตลอดชีวิตของนักการเมือง ทำให้การหยุดกินอาจมที่ไม่ดี ทำได้ยาก ปล่อยให้ถอยหลังด้วยตนเอง ยากยิ่งกว่า งมเข็มในมหาสมุทร ต้องใช้อำนาจและพลังมหาชน บังคับ ความจริงเป็นการช่วยเหลือนักการเมือง ไม่ให้ทำบาปทำผิดต่อชาวบ้านและบ้านเมือง ที่ทำให้ตกนรกฯ ความจริง คือ การให้นักการเมือง ลงมาจากคอและหัวที่กดขี่ยืนค้ำหัวประชาชนมาตลอด ลงมา ยืนบนพื้น ให้รู้จักความเหน็ดเหนื่อยอย่างแสนสาหัสของชาวบ้านที่ยืนมาตลอดชีวิต และมิใช่ยืนตัวเปล่า แต่ต้องแบก “ นักการเมืองข้าราชการทุนสามานย์ “ ไว้บนบ่า วาทกรรม “ บ้านเมืองถอยหลัง “ เพราะคิดจากผลประโยชน์ของตนเอง อะไร หรือ ใคร ที่ขัดขวาง ไม่ให้นักการเมืองโกงกินใช้อำนาจมิชอบ ฯ เพื่อนักการเมือง ก็คือ อำนาจ อคติ และผลประโยชน์ที่ได้มาโดย มิชอบธรรม ของตนเองและพวกพ้อง ไม่ได้คิดเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ และอนาคตของบ้านเมือง หากคิดเพื่อชาวบ้าน เอาประชาชนมาก่อน เอาส่วนรวมและประเทศชาติเป็นหลัก นักการเมือง ที่มีจิตสำนึก ก็จะยอมถอยหลัง ลงมาจากการขี่คอชาวบ้าน ลงมายืนด้วยตนเอง และการถอยหลัง จะทำให้นักการเมืองไทย มีเกียรติศักดิ์ศรีและความสง่างาม ไม่เป็นที่รังเกลียดชิงชังจากมวลมหาประชาชนชาวไทยเรือนล้าน สุนัขที่คาบอาจมอยู่ในปาก คิดว่าเป็นอาภรณ์ประดับตัวเสริมเกียรติยศ ชื่อเสียงของตน ต้องเดินไปบนสะพานประชาชน มองลงไปเห็นเงาของตนเองในน้ำ จึงจะรู้ถึงความน่ารังเกลียด ที่เสนียดจัญไรติดอยู่ตามตัว จนจะเป็นขี้กลากขี้เรือนอยู่แล้ว กลับมาฟอกเนื้อฟอกตัว ด้วยการขอโทษ สำนึก ติดคุกคืนทรัพย์ แล้วประชาชนจะยกโทษให้