เสือตัวที่ 6 จากการศึกษาวิจัยของนักวิชาการกลุ่มหนึ่ง พบว่า ปัจจัยที่เป็นเหตุจูงใจให้สมาชิกแนวร่วมขบวนการปลายด้ามขวานแห่งนี้ คิดใหม่ กลับใจหนีออกจากการร่วมมือกับกลุ่มคนในขบวนการ แม้บางส่วนจะไม่ถึงขั้นกลับใจมาร่วมมือกับฝ่ายรัฐโดยตรง หากแต่ก็ทำให้ศักยภาพในการต่อสู้ด้วยอาวุธกับรัฐอันเป็นยุทธศาสตร์สำคัญประการหนึ่งในการแบ่งแยกการปกครองจากรัฐ ให้ต้องลดน้อยถอยลงไปอย่างมาก เพราะการต่อสู้กับรัฐโดยเฉพาะการต่อสู้ด้วยอาวุธนั้น จำเป็นที่จะต้องมีสมาชิกในขบวนการแห่งนี้จำนวนไม่น้อยที่ร่วมมือกันขับเคลื่อน และด้วยการที่การขับเคลื่อนการต่อสู้กับรัฐ ยังไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ทำให้กลุ่มคนที่เคยตกเป็นเหยื่อในการชักนำของแกนนำนักจัดตั้งมวลชนของขบวนการ เกิดความรู้สึกนึกคิดใหม่ที่มีมูลเหตุจากการอ่อนล้าในการต่อสู้ด้วยอาวุธกับรัฐและห่างไกลเป้าหมายที่เคยคาดคิดไว้แต่เดิม จึงส่งผลให้พวกเขามีเวลาในการฉุกคิดใหม่ และกลับใจหนีออกจากขบวนการ อันเป็นเป็นทางเลือกเดียวที่หลงเหลืออยู่ของสมาชิกแนวร่วม ด้วยปัจจัยและแรงจูงใจหลายๆ ประการที่ต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว ดังนี้ 1) การเปิดทัศนะโดยให้ผู้รู้ทางศาสนา ช่วยชี้แนะคำสอนที่ถูกต้อง ลักษณะดังกล่าวมักจะเกิดขึ้นต่อเนื่องจากการถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐมีจดหมายเชิญตัวมาพูดคุย เมื่อเชิญมาพูดคุยแล้วก็ให้ผู้รู้ทางศาสนาเข้าชี้แนะคำสอนที่ถูกต้อง ถึงสิ่งที่ถูกที่ผิด ทำให้ผู้เคยตกเป็นเหยื่อของขบวนการ เกิดความฉุกคิด ตระหนักและมีโอกาสได้รับฟังคำสอนที่ถูกตีความไปอีกแนวทางหนึ่ง เพื่อให้บุคคลผู้นั้นเกิดวิธีคิดที่กว้างมากขึ้นจากการถูกครอบงำของแกนนำที่ปลุกระดมบ่มเพาะมาในอดีต จนกลุ่มคนเหล่านี้หลงเชื่อและหันหน้าเข้าร่วมขบวนการร้ายแห่งนี้เข้าต่อสู้กับรัฐ ลักษณะดังกล่าว ยังเกิดขึ้นกับผู้ที่ใฝ่รู้เองบางคน ซึ่งเมื่อตัดสินในเข้าร่วมขบวนการแบ่งแยกผู้คนให้เห็นต่างไปแล้ว เกิดความสงสัยในคำสอน จึงไปค้นหาความรู้จากคนใกล้ตัวที่รู้ เช่น ญาติที่เป็นผู้สอนศาสนา หรือผู้ที่เรียนทางศาสนามามากกว่า โดยเฉพาะคำสอนทางศาสนาของกลุ่มขบวนการเปลี่ยนไปเมื่อเปรียบเทียบกับคำสอนในสมัยที่ตนเองเรียนมาในวัยเด็ก 2) เจ้าหน้าที่รัฐสามารถเข้าถึงชาวบ้านได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนเปิดโอกาสให้รัฐสามารถเข้าไปสื่อสารนำข้อมูลความจริงที่จริงกว่าอีกด้านหนึ่งไปให้พี่น้องชาวบ้านและผู้ตกเป็นเหยื่อของขบวนการ ได้รับรู้เข้าในมากขึ้น ทั้งนี้ เกิดจาการที่ระยะเวลาในการต่อสู้กับรัฐที่เนิ่นนานขึ้นกว่าแผนที่วางไว้ ส่งผลให้รัฐสามารถเรียนรู้หาข่าวจากการซักถามผู้ที่ถูกจับกุมได้ และผู้ที่เปลี่ยนวิธีคิดหนีออกจากขบวนการแห่งนี้ รวมทั้งการจับทางได้ของรัฐ ทำให้โครงการการจัดของขบวนการและยุทธศาสตร์ในการต่อสู้ของคนกลุ่มนี้ ถูกตีแผ่ออกมาทีละน้อย จนรัฐสามารถหาแนวทางในการต่อสู้เพื่อระงับยับยั้งการหล่อหลอมบ่มเพาะแนวคิดสุดโต่งเพื่อสร้างสมาชิกใหม่ให้เข้าร่วมการต่อสู้ของขบวนการร้ายแห่งนี้ อันนำมาซึ่งการตัดสินใจหนีออกจากการร่วมขบวนการของคนกลุ่มนี้ 3) การรู้สึกว่าหนทางการต่อสู้ของกลุ่มขบวนการ มืดมนจนไม่มีโอกาสจะชนะรัฐได้ ด้วยคนกลุ่มนี้เกิดความคิดสงสัยในขณะอยู่ในขบวนการต่อสู้กับรัฐ และมีคำถามสำคัญในตนเองมากมาย อาทิ ขบวนการจะชนะได้อย่างไรในเมื่ออาวุธยุทโธปกรณ์ก็ไม่มี หรือมีก็เทียบกับฝ่ายรัฐไม่ได้ การฝึกอาวุธก็ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ตามมีตามเกิด เช่น ใช้ไม้แทนอาวุธ นอกจากนี้เป้าหมายที่ตั้งไว้ก็ไม่ชัดเจนว่าองค์กรหรือขบวนการเป็นใคร หัวหน้าชื่ออะไร ชนะแล้วจะได้อะไร และจะอยู่กันอย่างไร ในขณะที่ทุกวันนี้ ยังต้องอาศัยทุกสิ่งอย่างจากรัฐ ไม่ว่าจะเป็นระบบสาธารณูปโภค ไฟฟ้า ประปา โรงพยาบาล สาธารณะสุข ถนนหนทาง ระบบสื่อสารโทรศัพท์ และเงินงบประมาณ เป็นต้น ทำให้คำถามหรือข้อกังขาในเป้าหมายที่แท้จริงและภาพอนาคตที่ไม่ชัดเจนหากแยกตัวสำเร็จ 4) ความร่วมมือของทุกฝ่ายในการให้ข้อมูลอีกด้านหนึ่งแก่ผู้เคยตกเป็นเหยื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสมาชิกในครอบครัว ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำศาสนา หรือคนที่ตนเองเคารพนับถือหรือไว้วางใจ ที่ร่วมกันสื่อสารให้ผู้ตกเป็นเหยื่อเหล่านั้นได้เปิดรับข้อมูลความจริงอีกด้านหนึ่ง ในทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นการส่งจดหมายชี้แจง การชักชวนไม่ให้หนี การเข้าพูดคุยทำความเข้าใจกับสมาชิกครอบครัว และผู้ที่เคยออกมาจากขบวนการร้ายแห่งนี้ก่อนแล้ว ติดต่อและแสดงให้เห็นตัวอย่างว่า หากออกมาจากขบวนการแล้วจะมีความปลอดภัยและกลับมาใช้ชีวิตกับคนในครอบครัวของตนได้ตามปกติ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีบุตรและยังไม่ถลำลึกไปมาก จะมีความห่วงใยบุตรของตนเองอย่างมาก จึงมีโอกาสในการรับข้อมูลใหม่และตัดสินใจหนีออกจากขบวนการแห่งนี้ และสิ่งสำคัญยิ่งประการหนึ่งคือ การที่สมาชิกแนวร่วมขบวนการร้ายแห่งนี้ ไม่เห็นความจริงที่ชัดเจน หากการต่อสู้ของขบวนการไปถึงจุดสุดท้ายที่ต้องการ ด้วยการเห็นเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าฝ่ายขบวนการไม่มีความพร้อมแม้แต่น้อยในการแยกปกครองกันเองอย่างที่วาดฝัน การที่กลุ่มคนในขบวนการไม่สามารถแสดงให้เห็นเป็นรูปธรรมได้เลยว่า คนกลุ่มนี้โดยเฉพาะแกนนำขบวนการทั้งหลาย จะนำพาสิ่งที่ดีกว่าให้เกิดขึ้นกับพี่น้องในพื้นที่โดยเฉพาะคนอันเป็นที่รักในครอบครัวของตน และการไม่เห็นทางที่จะได้รับชัยชนะต่อรัฐหากต้องต่อสู้ด้วยอาวุธอย่างที่ผ่านมา เพราะเห็นแล้วว่า การอยู่อย่างในปัจจุบัน ก็มีความสะดวกสบายตามวิถีที่คนในท้องถิ่นต้องการภายใต้การสนับสนุนจากรัฐเป็นอย่างดีแล้ว เหล่านี้เอง จึงเป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ นั่นคือ การหนีออกจากขบวนการที่ชักจูงให้มาเป็นส่วนหนึ่งในการต่อสู้ด้วยอาวุธ แล้วหันมาต่อสู้ทางความคิดตามแนวทางสันติวิธีที่เหลืออยู่