ศ.ดร.ไชยา ยิ้มวิไล ตั้งใจว่าจะอธิบายต่อข้อที่หกของ “ปัญหาหมักหมม” ที่ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว แต่บังเอิญมาเจอบทความที่ลูกศิษย์ปริญญาเอกที่จบไปแล้วส่งมาให้อ่านถึงนักวิชาการบวกกับสื่อมวลชนของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่มีมุมมองของ “ระบบการศึกษาของประเทศไทย” ที่ผมคิดว่าต้องนำมาเผยแพร่ให้คนไทยทราบโดยด่วน ที่คนไทยอาจมองคนอื่นในเชิง “ดูหมิ่นดูแคลน” ว่า “คนจีนไร้มารยาท” และ “อาจไร้การศึกษา” แต่ในทางกลับกัน เขามองระบบการศึกษาไทยในเชิงลึกซึ้งเท่าทีควรในเชิ กรณีที่อาจเจาะลึกอย่างแท้จริง! ถามว่าผมลองอ่านแล้วพิจารณาดูหลายครั้งก็ต้องทบทวนดูหลายรอบแล้วก็ต้องพยักหน้าว่า “เห็นด้วย-เห็นจริง!” กับความคิดเห็นของทั้ง “ระบบการศึกษาไทย” และ “เด็กกับเยาวชนไทย” ที่อาศัยระบบการศึกษาไทยเป็น “ใบผ่าน” เข้าสู่สังคมไทยที่อาจเรียกได้ว่า “จอมปลอม” ก็น่าจะเป็นได้! ทั้งนี้ อาจจะไม่เป็นทั้งหมดของเด็กและเยาวชนไทย น่าจะมีเพียง “ชนชั้นสูง-ชนชั้นนำของสังคมไทย และอาจมีชนชั้นกลาง” ที่พยายามเลียนแบบด้วยการกู้หนี้ยืมสิน หรือไม่ก็ตื้อพ่อแม่ด้วยการต้องการซื้อรถยนต์ราคาสูง พร้อมเสื้อผ้าแบรนด์เนมเพื่อเข้าสู่ “สังคมระดับสูง”ได้ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า “เป็นสังคมจอมปลอม” หรือ “สังคมที่ปลอม” หรือ “สังคม SUPERFICIAL” โดยอาจไม่รู้จัก หรือไม่มีเนื้อหาสาระใดๆ เลย หรือไม่มี “SUBSTANCE” ใดๆเลย ทั้งนี้คือการวิเคราะห์ ถามว่า ถ้าเด็กหรือเยาวชนสามารถ “สังเคราะห์” สภาพความเป็นจริงของ “สภาพความเป็นจริง” ของสภาพชุมชนและครอบครัวตนเองตามสถานะ พร้อมทั้งสภาพแวดล้อม และ/หรือ บริบทใกล้ตัว และขยายวงกับชุมชนไกลตัวออกไปเพื่อเชื่อมโยงกับชุมชนขนาดใหญ่ พร้อมวิเคราะห์กับปัญหาต่างระดับของชุมชน เมื่อชุมชนกับปัญหาต่างระดับของแต่ละชุมชนและไต่สู่ระดับสังคมสู่ระดับชาติ ทั้งในเชิงสังคม การเมือง เศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม ซึ่งรวมถึงชุมชนป่า ที่ดินทำกิน ความสมดุล แม้กระทั้งสภาวะการศึกษาที่เด็กเข้าใจหรือไม่กับสภาวะการเปลี่ยนแปลงของประเทศที่ต้องเชื่อมโยงกับภูมิภาคและโลกในที่สุด ทั้งในเชิงสังคม และสภาวะเศรษฐกิจ ในกรณีนี้ เด็กต้องเข้าใจสภาวะทางสังคมกับเศรษฐกิจที่ต้องสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์กัน ซึ่งต้องยอมรับว่า “ยากมากที่จะสร้างความเข้าใจ” ในเชิงจุลภาคสู่มหภาค...ซึ่งยากมากที่จะเข้าใจ! ลองมาฟังดูซิครับว่าจีนมองไทยลึกซึ้งอย่างไร “การศึกษาไทยในมุมมองของจีน ห่วยสุดๆ ตั้งแต่ระดับมัธยม จนถึงระดับ มหาวิทยาลัย  1. สถานทูตจีน เขียนรายงาน (เป็นภาษาจีน) ระบุการศึกษาบ้านเรา เน้นแต่ด้าน ศิลป ศาสตร์ นิติฯรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การตลาด บริหารธุรกิจ ซึ่งจบมาแล้ว ไม่มีงานทำ ความรู้กระจอก สักแต่ให้มีใบปริญญา ไม่ได้สร้าง value-added ใดๆ นักวิทยาศาสตร์ การวิจัย แทบจะเป็นศูนย์ Guanmu อดีตเอก อัครราชทูตจีน บอกว่า25 ปีที่ผ่านมา ไทยผลิตยาง ยังไงก็ยังทำแบบนั้น ไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม ทำเป็นยางรถยนต์ หรือสิ่งประดิษฐ์ อะไรเองไม่เป็น สร้างคิดอะไรไม่ได้  2. มหาวิทยาลัยไทย รวมไปถึง ธรรมศาสตร์ จุฬาฯ กิจกรรมเน้นเต้น หลีดโชว์หล่อสวย แต่โง่ ไม่มีการฝึกงานอะไร ที่เป็นประโยชน์ เด็กขอเงินพ่อแม่ เที่ยวกลางคืนไปวันๆ โชว์วัตถุนิยม ว่ารถกูขับรถไร สังคมมันวัดกันแค่นี้ (เห็นมากับตา) พวกดีๆ ก็มีแต่มันน้อย เอาจริงๆนะ ผมว่ามีแค่10% ในขณะที่เด็กสหรัฐฯ พวก MIT Stanford หรือเด็กจีนชิงหัว ปิดเทอม พยายามหางานทำ ฝึกงาน UN World Bank JP Morgan หรือมาค่ายผู้ลี้ภัย ชาวโรฮิงญาในไทย  3. จ่ายครบจบแน่ ปริญญาขยะ เต็มบ้าน คือ หางานไรทำไม่ได้ มีแต่อยากจะรวย "ผมจะทำธุรกิจ" คือมันคิดไรไม่ออก นอกจากขายของ นอกจากนี้ ยังมีทุจริต ผันงบกระทรวงศึกษาให้ทุนกู้ยืมเรียน มหาวิทยาลัยเอกชน ที่มีนักการเมืองเป็นเจ้าของ สุดท้ายก็หนี้สูญ เพราะเด็กบ้านนอก ได้มาเข้ากรุง สักว่า ได้ปริญญาประดับบ้าน (วอลเปเปอร์) แต่มันหางานทำไม่ได้ ปึหนี่งหมดเงิน ภาษีประเทศชาติ ไปหลายหมื่นล้าน เรื่องเลวๆนี้ ไม่เคยถูกตรวจสอบ  4. ภาษาอังกฤษ ห่วยแตกขั้นเทพ จริงๆ อจ.จุฬาฯส่วนใหญ่ ก็ลอกบทความฝรั่ง มาแปลๆ ไม่มีความคิด อะไรที่ใหม่ หาน้อยคน ที่จบระดับโลก ไปดู CV เอาเอง จบมหาลัยห้องแถว B-class ทั้งนั้น งานวิจัยขยะ copy/paste เต็มไปหมด ครูมัธยม เอาแค่โรงเรียนในกรุงเทพฯ ผมเคยถูกเชิญไปพูด ยังออกเสียงสะกดศัพท์ไม่ถูกเลย จะสอนเด็กให้ถูกได้อย่างไร แล้วโรงเรียน ในอ.ปัว จังหวัดน่าน มันจะห่วยแตก ขนาดไหน คิดดู 5.ความรู้ใหม่ๆ หรือเทคโน โลยี มันหมุนเวียน เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งคนไทยรู้แต่ ภาษาไทยตัวเอง ไม่มีความสามารถ แข่งขันอะไร ในระดับโลก โลกทรรศน์สุดจะแคบ สำนักข่าวไทย รายงานแต่เรื่องเส็งเคร็ง ไม่ได้สร้างสรรค์คุณค่า ความรู้อะไร คนนั้นท้องกับคนนี้ ไปทำงานมา หลายประเทศ เช่น ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ บอกได้เลย นักเรียนไทย โคตรจะขี้เกียจ ไม่รู้ปีหนึ่งๆ อ่านหนังสือกัน กี่เล่ม?... รัฐบาลไหนจะคิดแก้ไขบ้างหนอ.ขี้เกียจ ปริญญา ซื้อหาได้ จบได้ กลายเป็นคนโง่ ขึ้นไปอีกคน เพราะมีใบประกาศ มีทิฐิเพิ่ม หมิ่นเงินน้อย  ทำอะไรไม่เป็น คิดสร้างสิ่งใหม่ๆ ไม่ได้ เบียดเบียดครอบครัวประเทศชาติ เป็นภาระ เป็นปัญหาสั่งคม ไร้คุณภาพอ้างตกงานที่แท้ขาดความรู้ความสามารถ ทุกอย่างชอบจะชื้อ จะกิน จะอยู่แบบสบาย ขาดการศึกษา กล่อมเกลาจิต ไม่มีความอดทน ต่อสู้ เป็นคนงอมืองอเท้าอาศัยผู้อื่น สมองคนอื่นไปๆวัน ๆ โตแบบแก่งแย่ง ชิงดีกัน ไม่มีทีมเวิร์ค เริ่มแต่แย่งสมบัติของพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ต่อไปบ้านเมืองจะวุ่นวาย เพราะคนในชาติคิดสร้างไม่เป็น หมดสมบัติชาติ ผลาญหมด ผลาญทรัพยากรวัวควายไร่นาป่าไม้แร่ธาตุหมดแล้วจะกลับมาอยู่อย่างเดิมก็ไม่ได้ จบ ป.โท ป.เอก ทำไร่ทำนาไม่ได้ หากินเองไม่ได้  อนาคตเป็นทาสเขา เด็กขาดคุณภาพ ก็เป็นผู้ใหญ่ไร้คุณภาพ เป็นคนชราก็เป็นภาระประเทศชาติแน่นอน มีใบประกาศ ใบปริญญาแต่สังคมโลกไม่ยอมรับก็สูญปล่าว  ต้องรีบแก้ไขเรื่องเหล่านี้ด่วน  เร่งพัฒนาสังคม” เฮ้อ!...ฟังแล้วก็เหนื่อยครับ เพราะมันเป็นจริงๆ แล้วจะเป็น 4.0 ได้อย่างไร?...นี่หรือทรัพยากรของชาติในอนาคต...อีกกี่ปีจะเป็น “คนคิดเป็น!” ……………………..