เสรี พงศ์พิศ www.phongphit. บราซิลที่โลกรู้จักเป็นนักฟุตบอลอย่างเปเล่ โรนัลโด โรนัลดิญโญ เนย์มาร์ และอีกนับหมื่นคนที่บราซิล “ส่งออก” ไปเล่นในทีมต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย นักฟุตบอลเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากชุมชนแออัด เล่นฟุตบอลตามถนน ตรอกซอกซอย ตามชายหาดก่อนจะหลุดจากความยากจนเป็นเศรษฐีเพราะฝีเท้า เป็นแรงบันดาลใจให้เด็กๆ ในบราซิลและทั่วโลกให้เล่นฟุตบอล บราซิลเป็นประเทศใหญ่สุดในอเมริกาใต้ ใหญ่กว่าไทย 16 เท่า มีประชากร 210 ล้านคน กว่าร้อยละ 85 อยู่ในเมือง เกือบครึ่งอยู่ในชุมชนแออัด เซเซ่ เด็กน้อยตัวเอกในต้นส้มแสนรักเกิดและเติบโตในชุมชนแออัด เขาคือตัวแทนชีวิตจริงของ โจเซ่ วาสกอนเซลอส ที่เกิดที่สลัมของเมืองริโอ เดจาเนโร ผู้แต่งนิยายเรื่องนี้ที่โด่งดังไปทั่วโลก ที่ว่ากันว่า ใครอ่านจบไม่เสียน้ำตาน่าจะความรู้สึกด้าน หนังสือต้นส้มแสนรักมีคุณค่าน่าอ่านและประสบความสำเร็จไปทั่วโลกไม่เพียงเพราะสะท้อนสภาพปัญหาและความฝันของเด็กจากครอบครัวยากจนและขาดแคลน แต่เพราะทำให้ผู้ใหญ่ทั้งหลายที่อ่านหนังสือเล่มนี้ต้องกลับมาคิดทบทวนตัวเองว่า เป็นผู้มีส่วนทำลายความฝันอันสวยงามของเด็กๆ ไปด้วยหรือไม่ เคยพยายามเข้าใจความฝันและความใฝ่ฝันของพวกเขามากเพียงใด เซเซ่อาจจะซน ดื้อ ไม่รู้กาลเทศะ ทำอะไรไม่เหมือนคนอื่น ทำให้ผู้คนเดือดร้อน แต่ที่โรงเรียนเขากลับเป็นเด็กเรียบร้อย ตั้งใจเรียน ไม่เคยสร้างปัญหาเลย เนื่องเพราะเขาได้ครูดีที่เข้าใจเขาและรักเขา เขาไม่อยากทำให้ครูผิดหวัง ทำให้เห็นว่าเซเซ่ไม่ได้เป็นเด็กเลวอะไร แต่เป็นเพราะเขาขาดคนที่รักและเข้าใจเขาต่างหาก เขาถูกพ่อแม่และพี่ๆ ทำโทษเฆี่ยนตีแทบทุกวัน แต่กับครูที่โรงเรียน หรือกับชายคนหนึ่งที่เขานับถือเป็น “พ่อคนที่สอง” เขากลับเป็นคนละคน ความจริง พ่อคนนี้เป็นคนในฝันของเซเซ่ เป็นคนในจินตนาการ ที่ผู้เขียนต้องการจะบอกว่า ความรักทำให้เซเซ่กลายเป็นคนละคน แตกต่างจากที่บ้านและในชุมชน ผู้เขียนมีความสามารถเล่าเรื่องทำให้ผู้อ่านไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่รู้สึก “อิน” กับเรื่องจนคิดว่าตนเองเป็นเซเซ่ เพราะเซเซ่เป็นตัวแทนของความฝัน มีความรู้สึกนึกคิดและจิตวิญญาณ อ่านจบหลายคนเสียน้ำตาไม่ใช่เพียงเพราะต้นส้มแสนรักถูกตัดไปในนามของการพัฒนา ต้องขยายถนน แต่เพราะความู้สึกเจ็บปวดกับความโหดร้ายของชีวิต ของผู้คน ของสังคม เจ็บปวดที่ถูกกดไว้ไม่ให้สื่อสารกับคนทั่วไป ต้องไปบอกว่ารู้สึกอะไร คิดอะไรกับต้นไม้ และที่สุด แม้แต่ต้นไม้ที่เป็นเพื่อนคนเดียวที่ “เข้าใจ” และ “รับฟัง” ความสุขความทุกข์และความในใจก็ถูกกำจัดไปด้วย ผู้อ่านรู้สึกว่าตนเองกลับมาสู่โลกที่มีแต่ความไม่เข้าใจ ไม่ให้โอกาส โลกแห่งความโดดเดี่ยว อ้างว้าง โลกแห่งความเหงา เซ็ง โลกที่หลายคนเป็นบ้าและฆ่าตัวตายเพราะทนอยู่ต่อไปไม่ได้ เซเซ่อยากบอกใครๆ ว่า ที่เขาซนสุดๆ และทำอะไรรุนแรงเลวร้ายหลายครั้งเพราะเขารู้สึกว่าไม่มีใครรักเขา ไม่เพียงแต่พ่อแม่พี่ๆ ที่บ้าน แม้แต่ “พระเจ้า” ก็ไม่รักเขาเช่นเดียวกัน วันคริสต์มาสที่ใครๆ ตื่นเต้นดีใจที่จะได้ของขวัญ ได้รับประทานอาหารอร่อย แต่เซเซ่ไม่ได้อะไรเลย แม้แต่ของขวัญที่ทางวัดจัดเตรียมให้สัตบุรุษคนจนเขาก็ไม่ได้รับ เขาไปถึงช้าไป เพราะต้องเดินไปกับน้องเล็กๆ ที่บ้านก็ไม่มีของขวัญหรืออาหารพิเศษอะไร เพราะพ่อแม่ไม่มีเงินซื้อ เขาจึงคิดว่า พระเจ้าช่วยแต่คนรวย ไม่ช่วยคนจน แม้แต่พระเจ้าก็ไม่ยุติธรรมกับเขา ขณะที่ผู้คนกำลังฉลองปีใหม่กัน พี่น้องคนไทยจำนวนมากคงไม่ได้ฉลอง หรือไม่ได้สนุก เพราะรู้สึกว่า “รัฐบาลรังแกฉัน” ที่ชาวจะนะ สงขลา กลุ่มหนึ่งขึ้นไปประท้วงที่ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ เรื่องโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมและเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยเฉพาะในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้อ้างว่าเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจและความไม่สงบในพื้นที่ รวมไปถึงโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และโครงการอื่นๆ ในภาคเหนือภาคอีสาน ที่มีผลกระทบไม่เพียงแต่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่กระทบต่อวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนท้องถิ่น ซึ่งรัฐบาลก็อ้างตลอดเวลาว่าขอให้เสียสละ “เพื่อส่วนรวม” อ่านต้นส้มแสนรักแล้วคงต้องตั้งคำถามว่า โครงการพัฒนาเหล่านี้มี “หัวใจความเป็นมนุษย์” มากน้อยเพียงใด ใส่ใจใน “ชีวิต” จริงของประชาชนในพื้นที่จริงหรือ หรือคิดถึงแต่เพียงตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจบนโศกนาฏกรรมทางสังคม ถ้าเคารพในสิทธิของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่มาหลายร้อยปี หลายชั่วอายุคน ย่อมจะให้พวกเขามีส่วนร่วมในการพัฒนาที่ไม่ได้เพียงแต่มา “ผ่าและผ่าน” พื้นที่อยู่และที่ทำมาหากินเท่านั้น แต่ทำให้ทุกอย่างรวมไปถึงอากาศที่เป็นลมหายใจของพวกเขาเป็นพิษไปด้วย คงไม่ผิดเกินไปกระมังถ้าจะบอกความรู้สึกของคนจำนวนมากวันนี้ว่า ความไม่สงบในภาคใต้และทั่วประเทศไทย ที่ทำให้เกิดการประท้วงการชุมนุม เพราะ “รัฐบาลรังแกฉัน” ในนามของการพัฒนาและความมั่นคง ขออย่าให้สังคมไทยในปี 2564 เป็นปีแห่งการฝันร้ายเพราะ “รัฐบาลรังแกเด็ก” อ้างเหตุผลมากมายเพื่อใช้กฎหมายต่างๆ อย่างเคร่งคัด ทำลายความฝันของเด็ก ที่ต้องการเห็นบ้านเมืองเจริญพัฒนา บ้านเมืองก็เป็นของพวกเขาด้วย