ชัยวัฒน์ สุรวิชัย - นายชัยวัฒน์ ลุงสุข ชมจันทร์ และปู่จิ๊บ เป็นเพื่อนแท้ ที่คบกันมานาน และจับมือเดินทางไกลไปด้วยกัน เส้นทางเดินช่างคล้ายกันนัก มิได้อะไรมาโดยง่าย ต้องฝ่าฟันอุปสรรคใหญ่น้อย กว่าจะถึงเป้าหมายแต่ละช่วง เริ่มจากไม่รู้ ใช้ความเพียรพยายาม ศึกษาเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และเรียนรู้การใช้ สติปัญญาความจริง ก้าวอย่างช้าๆแบบเต่าที่ถูกกระต่ายวิ่งผ่าน แต่ไม่ท้อแท้ คลานต้วมเตี้ยมไปไม่หยุด จนกว่าจะถึงเป้าหมาย บทสรุปที่ตรงใจตรงความจริง เมื่อเราทั้งสาม มานั่งคุยแลกเปลี่ยนบทเรียน เพื่อเดินไปข้างหน้า สิ่งที่ตรงกันคือ “การคิดพึ่งตนเองเป็นหลัก การเอาจริง จริงใจ และการใช้ความรู้สติปัญญาความจริงนำทาง” - เรามาเริ่ม โดย ให้แต่ละคนเล่าเรื่องของตนเองที่ผ่านในช่วงชีวิตของตน โดยเริ่มตามลำดับของเวลาที่ซื่อตรง - เริ่มจาก ดช.ชัยวัฒน์ ไล่เรียงมาถึงตอนเป็นนายชัยวัฒน์ ; ว่ามีอะไรที่สำคัญน่าสนใจ 1. ตอนเป็น ดช.ชัยวัฒน์ เริ่มจากที่บ้านร้านชัยประสาน รร.อรุโณทัย รร.อัสสัมชัญ และรร.เตรียมอุดมพญาไทป๋าแม่ สอนให้พึ่งตนเองเพราะมีลูก 9 คน ลูกแต่ละคนต้องพึ่งตนเอง ทำทุกอย่างทั้งงานบ้านและการเรียน ที่บ้าน มีป๋าและแม่ เป็นแบบอย่าง และมอบหมายให้ลูกแต่ละคน ช่วยทำงานคนละอย่างสองอย่าง ที่โรงเรียน มีบราเดอร์และมาสเซอร์ ที่เน้นเรื่องการเรียนและการมีความรับผิดชอบของนักเรียนแต่ละคน นอกจาก การเรียนที่หนัก มีการแบ่งหน้าที่ทำเวรประจำในห้องเรียน และมีการบ้านเยอะแยะ ที่สำคัญคือ หลักคิดคำขวัญของโรงเรียนอัสสัมชัญลำปาง ที่เสริมความคิดพึ่งตนเองเป็นหลัก LABOR OMNIA VINCIT วิริยะ อุตสาหะ นำมาซึ่งความสำเร็จ บางคนรู้ และท่องขึ้นใจ ไปพูดจาอวดหรืออธิบายเพื่อนต่างโรงเรียนให้ดูดี แต่สิ่งที่สำคัญ คือ ต้องเป็นใคร ทำ ใครวิริยะ อุตสาหะ คำตอบเดียว คือ ตัวเราเอง หรือ ตัวกูของกู ที่ต้องมี คำที่สอนลูกทุกคน “ ป๋าไม่มีอะไรจะให้ นอกจากความรู้ อยากเรียนอะไร ป๋าจะจัดการให้ ” นี่คือ การให้ของป่า ที่ให้แก่ลูกอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน และยังเผื่อแผ่ไปยังญาติพี่น้องทุกคน ความสำเร็จในการศึกษา ก็อยู่ที่ลูกแต่ละคน คิดพึ่งตนเอง เอาจริงตั้งใจเรียน ไม่ให้ป๋าผิดหวัง ดช.ชัยวัฒน์ ไปสอบเข้ารร.เตรียมทหาร สอบผ่านข้อเขียน แต่ตกสัมภาษณ์ ,ไม่ท้อมาสอบเข้ารร.เตรียมอุดม 2. อายุ 17 ปี เป็นนายชัยวัฒน์ มุมานะพึ่งตนเอง ตั้งใจสอบเอนทรานส์ ดูหนังสือหนัก โดยไม่กวดวิชาฯสามารถสอบได้ในระดับดี เป็นระดับ 50 คนแรก ได้เรียนห้อง C ที่เข้าเรียนอินทาเนียร์ จุฬาฯ รุ่นปี 2510 2.1 ชีวิตในปราสาทแดงของวิศวฯและรั้วจามจุรี 6 ปี ได้พัฒนาความคิดพึ่งตนเอง การใช้สติปัญญาความจริงนำ โดยทำมาตลอด ทุกช่วงของเวลาในเรื่องและเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาในชีวิต ทำอย่างค่อยๆเป็นไป ช้าๆ ที่ละก้าวสองก้าว หกล้มคลุกคลาน บาดเจ็บ ในระหว่างปีนเขา กว่าจะถึงยอดดอย แต่ละเรื่อง แต่ละอย่างแม้เรื่องเล็กๆ ก็ต้องใช้ความเพียรพยายาม “วิริยะ อุตสาหะ นำมาซึ่งความสำเร็จ “ ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ตอนแรกก็ไม่เข้าใจ “หลักปรัชญาข้อนี้ “ เพราะดูหลายคนที่ผ่านมา เขาเก่งไปรวดเร็ว ไอ้เราซิ ทั้งการเรียน การงาน และแม้แต่การเล่น เราไปได้ช้ากว่าเขา ดีน่ะ “ที่ไม่มีโรคน้อยใจ “ที่ทำให้ท้อแท้ การเรียน เราต้องดูหนังสือหลายรอบ การงานก็ทำเสร็จที่หลังเพื่อน การเล่น เช่นเล่นชักว่าว กว่าจะติดก็นาน แต่ความช้ามีข้อดี คือ ทำให้เราใช้ความพยายาม การพึ่งลำแข็งตนเอง และทำให้ใจเราสู้ ไม่ยอมแพ้ โรคการยอมแพ้ หรือ ท้อถอย ไม่สามารถเข้ามาสู่ตัวและใจของผม เพราะมีภูมิที่ดี มั่งคงมั่นใจและยั่งยืน ทำให้ผมคิดถึง ประโยคนี้ “ ทางไปสู่เกียรติศักดิ์ จักประดับดอกไม้ หอมหวลชวนจิตไซร้ บ่มี ฯ “ ผมเห็นที่โรงเรียนเตรียมทหาร สมัยก่อน ที่ตั้งอยู่ถนนพระรามสี่ ข้างสนามมวยลุมพินี กทม. ในช่วงที่ผมไปสอบเข้าเตรียมหทาร ซึ่งเป็นแฟ่ชันอันดับต้นๆของนักเรียนชายในสมัยปี 2507-8 ผมหยุดอ่าน “ คำขวัญนี้หลายรอบ จนขึ้นใจ “ โดยไม่รู้ว่า “ จะมีประโยชน์และผมได้ใช้มาตลอดชีวิต ขอเล่า “ ช่วงสมัยผมเข้าทำงาน เป็นหัวหน้าสำนักนโยบายและแผนฯ และเป็นกรรมการพรรคพลังธรรม” ช่วงปี 2537-9 ที่พลตรีจำลอง ศรีเมือง เชิญ คุณทักษิณ มาเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม เราสนิทกันพอควร ผมเรียก “ หัวหน้า “ และ หัวหน้าทักษิณ เรียก “ พี่ชัยวัฒน์ “ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ดีที่สุดของหัวหน้าทักษิณ เพราะเอาจริง ทำงานตามหลักการและอุดมคติของชาวพลังธรรม ลงแรงหนัก หวังพาพรรคพลังธรรมไปถึงฝั่ง แต่เนื่องจากการขาดประสบการณ์ และถูกคนเก่าของพรรคที่เป็นนักการเมืองต่อต้าน ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ และเป็นคนประเภท จริงจัง ด่วนได้ ทำให้พลาดหลายเรื่อง เช่น “ประกาศจะแก้จราจรกรุงเทพฯใน 6 เดิอน” ดูช่วงหนึ่ง มีความรู้สึกท้อแท้ ผมก็ทำหน้าที่ลูกพรรคและเพื่อนที่ดี เขียนจดหมายให้กำลังใจหัวหน้าทัก มีประโยคนี้ “ “ ทางไปสู่เกียรติศักดิ์ จักประดับดอกไม้ หอมหวลชวนจิตไซร้ บ่มี ฯ “ อยู่ในจดหมายด้วย หัวหน้าทักษิณ กล่าวขอบคุณผม รวมทั้งคุณหญิงอ้อด้วย และยังนำไปเล่าให้รมต.พลังธรรม กล่าวชื่นชมผม 2.2 ในช่วงเรียนอยู่ 6 ปี ผมได้อะไรมากมาย ที่มีคุณค่าและความหมายต่อชีวิต ทั้งในขณะนั้นและต่อมา ทั้งเรียน ซ้อมเชียร์ โดยการเรียนมาที่หลัง และทำกิจกรรมและงานทุกอย่าง ตั้งแต่วันแรกถึงวันสุดท้าย หนักที่สุด ก็เป็นตอนปีหนึ่ง ที่รับความคิดระบบSOTUSของวิศวฯเข้ามาในความคิดและประสบการณ์ Seniority Order Tradition Unity Spirit = อาวุโส วินัย ประเพณี สามัคคี สปิริต เพราะ ทำทุกอย่างทุกเรื่อง เชียร์ ดื่ม เที่ยว เรียน ทำงาน ออกจากบ้านเช้าตรู่กลับบ้านดึกดื่น โดยรถเมล์ เป็นการปรับชีวิต จากนักเรียนเรียบร้อยเรียนลูกเดียว และแข่งขันด้วยการเรียน ( แต่ผมทำกิจกรรมไปด้วย) มาสู่ชีวิตที่เป็นนาย เป็นผุ้ใหญ่ ที่ต้องรับผิดชอบตนเอง และแบกรับเอาความหวังของป๋าแม่และพี่น้องมาด้วย ตอนสอบไม่ผ่านวิชาเดียว ช่วงเรียนปีสอง ทำให้กลายเป็น Repeator มีความรู้สึกเศร้าที่ทำให้ป๋าแม่ผิดหวัง แต่ป๋าแม่ เข้าใจลูก ไม่เคยว่าสักคำ มีแต่ให้กำลังใจและความเชื่อมั่นว่า “ ลูกของป๋าแม่จะไม่ทำให้ผิดหวัง” 2.3 ผมจะไม่ทำให้ “ ป๋าและแม่ คนที่รักเคารพ ญาติพี่น้อง และน้องๆที่ปรารถนาดีและเชื่อมั่นผม” ผิดหวังประโยคสั้นๆ แต่เป็นคำที่มีความหมายต่อผมมาก ทั้งการเรียน และการทำงานอย่างสุจริตเที่ยงธรรมไม่โกงกินทั้งในช่วงที่มีโอกาส สมัยทำงานและงานสร้างทางในชนบท ในฐานะนายช่างคุมงาน เงินหลักล้านวิ่งเข้ามา และเพื่อนรุ่นพี่บอกว่า “ ชัยวัฒน์ เอาเถอะ ใครๆก็ทำ งานก็ไม่เสีย เงินก็ได้ “ แต่ผมยอมจน แต่ไม่กิน ยิ่งตอนมีบทบาทและอำนาจมาก ในฐานะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการอุตสาหกรรม ไม่เคยทำเรื่องที่ผิดเลย แต่ช่วงนี้ ต้องยกบทบาทให้เพื่อนที่เป็นรัฐมนตรีว่าการฯ ไชยวัฒน์ สินสุวงค์ ที่ตงฉินแต่งานไปได้มาก ใช่ นี่คือ บทบาทของมิตรแท้เพื่อนที่ดี ที่จะช่วยให้เราเดินตรงทาง และไม่ท้อแท้ มีกำลังใจให้กันและกัน จึงอยากจะขอแนะนำว่า “ ในชีวิตหนึ่ง ต้องแสวงหาเพื่อนแท้สหายจริง ให้ได้สักคน ก็ไม่เสียชาติเกิด “ และผมมีมิตรจริงสหายแท้ อยู่หลายสิบคน นี่เป็นส่วนสำคัญในการทำงานตามอดมคติให้ก้าวผ่านไปได้ บนเส้นทางการเดินของชีวิต จะมีปัญหาอุปสรรคมากมาย หลายเรื่องหลายรสที่ประดังเข้ามาในชีวิต ทั้งเรื่องการงาน อาชีพ งานการบ้านการเมืองที่มีบทบาทมากในชีวิต และเรื่องคุณธรรมและศีลธรรม 2.4 โดยเฉพาะเรื่องคุณธรรมต่อสตรี เป็นเรื่องที่สำคํญที่เราต้องเคารพ มิใช่ด้วยวาจาแต่ด้วยการกระทำ ผู้นำที่มีบทบาทเด่น หลากหลายวงการ มีไม่น้อยที่มีข้อเสียใหญ่ ที่ไปละเมิดเพศมารดาโดยไร้คุณธรรม คนดังๆหลายคน บางคนมีบทบาทสูงในสังคม เป็นนักคิดนักเขียนใหญ่ เที่ยววิจารณ์สังคมและสถาบันฯ ถ้าเอ๋ยชื่อแล้วจะตกใจ มีทั้งไปยุ่งกับคนอื่นทั้งที่มีครอบครัวแล้ว พาสาวเข้าโรงแรมปลุกปล้ำ ฯลฯ แต่คนเหล่านี้ ต่างก็อยู่ได้ในสังคมชั้นสูงสังคมการเมืองและผู้ทำงานให้กับประชาชน ก็มีพลาดในเรื่องนี้ ซึ่ง น่าจะเป็นบทเรียนสำหรับผู้ที่มีอุดมคติอุดมการณ์ ที่จะต้องมั่นคงในจิตใจต่อทุกเรื่องๆในชีวิต และต้องยกย่องชื่นชม ผู้นำส่วนใหญ่ ที่มีคุณธรรม ให้เกียรติให้ความเคารพสิทธสตรีและเพศแม่ 2.5 การเรียนเป็นเรื่องสำคัญ ก็จริงอยู่ แต่คนที่ประสบคามสำเร็จในชีวิต จะมีเรื่องของกิจกรรมด้วย กิจกรรม คือ เรื่องงานนอกจากการเรียนที่โรงเรียนมหาวิทยาลัยจัดให้ เข้าร่วมทำร่วมกันทำกับเพื่อนๆ จะเป็นงานชมรมเกี่ยวกับการเล่นดนตรี กีฬาฯ งานศาสนา งานวิชาการและสันทนาการต่างๆ ผมผ่านมามาก ทั้งงานชมรมบริการโลหิตฯ ,งานวิชาการ การจัดนิทรรศการ, งานค่ายอาสาสมัคร งานปาฐกถาและโต้วาทีฯ ทั้งในคณะวิศวจุฬาฯ สโมสรนิสิตจุฬาฯ และภายนอกมหาวิทยาลัย รวมทั้งงานสังเกตุการณ์เลือกตั้งกทม. 2512 , การเดินขบวนคัดค้านผู้บริหารมหาวิทยาลัยคอร์รับชั่นฯ การต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น การรณรงค์ใช้สินค้าไทย ฯ รวมทั้งงานทรงดนตรีของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่หอประชุมจุฬาฯ ทุกปี และที่เป็นพิเศษ คือ การต้อนรับในหลวงและสมเด็จ นำประธานาธิบดีอินเดีย เสด็จจุฬาฯ และการได้มีโอกาสร่วมเสวยกับสมเด็จพระนางเจ้าอลิธซาเบจและดยุคแห่งอังกฤษ ที่เสด็จจุฬาฯ ในช่วงที่ผมเป็นอุปนายกและรักษาการณ์นายกสโมสรนิสิตจุฬาฯ ปี 2514-5 และในช่วงนั้น มีกิจกรรมทางการเมืองระดับชาติเกิดขึ้น โดยเฉพาะการคัดค้านการรัฐประหาร 17 พย.14 การต่อต้านกฎหมายโบว์ดำ 299 ที่รัฐบาลรัฐประหารจะเข้าแทรกแซงอำนาจตุลาการฯ โดยสรุป อยากจะชี้ให้เห็นว่า “ งานกิจกรรมต่างๆ สร้างเพื่อน การให้การเสียสละ การทำงานหนักต่างๆ ที่ไม่มีในตำราเรียนฯ จะให้ความรู้ และประสบการณ์ที่ก่อประโยชน์ในการทำงานเมื่อจบออกไป แต่เราจะต้องรู้จัก การจัดและบริหารเวลา รู้เรื่องหลักของการศึกษา คือ เรื่องเรียน และเรียนให้จบ ผมโดยส่วนตัวได้ประโยชน์มาก ทั้งการเรียน การทำกิจกรรม และการผ่านชีวิตการเมืองในมหาวิทยาลัย 3. ช่วงสั้นๆ เพียง 3 ปีของชีวิต จากปี 2516-2519 ซึ่งเป็นช่วงทำงานในเมือง ก่อนตัดสินใจเข้าสู้ในป่าใหญ่เป็นวิศวกรกทม. งานการเมือง ( ตั้งกลุ่มเรียกร้องรธน. ) การถูกจับ 13 กบฏเรียกร้องรธน.2516 การร่วมแก้ไขปัญหาการจลาจลและการต่อสู้ของนักศึกษากับรัฐบาลทรราช จนเหตุการณ์ยุติ นั่นคือ ความรับผิดชอบในฐานะผู้นำ ที่ยามศึกอยู่หน้า ยามสงบอยู่หลัง มิใช่เหมือนกับผู้นำหลายคนที่หลบไป หลายครั้งหลายหน แทบเอาชีวิตไม่รอด แต่ก็ปลอดภัยมา ด้วยการคิดและพึ่งตนเอง ไม่พึงพาอาศัยใบบุญใคร เรื่อง การพึ่งพาตนเอง เป็นพื้นฐานที่สำคัญ ที่ทำให้เราต้อทำงานหนักเอาจริง เตรียมพร้อม ยอมลำบาก ซื่อสัตย์สุจริต และที่สำคัญทำทุกอย่างด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่หวังผลตอบแทนใดๆ เพราะทำดีคือเป็นสุขใจ และโชคดี ที่ในปี 2517 ช่วงพรรษา ได้บวชเป็นพระนวกะที่วัดชลประทานฯ (ท่านปัญญานันทะภิกขุ) โดยลาบวชกับคุณหญิงนันทกา ปลัดกทม.ทำให้ได้กลิ่นอายของรสพระธรรมขั้นต้น ก่อนมาปฏิบัติในภายหลัง จากการสรุปบทเรียนของชีวิตในแต่ละช่วงที่ผ่านไป และความโชคดีที่ยังอยู่รอดมาได้ถึงปัจจุบัน