ชัยวัฒน์ สุรวิชัย วันนี้เหลือเพื่อนคนสุดท้าย ที่จะมาเล่าประสบการณ์ การยืนมาได้ถึงวันที่ คือ “ ปู่จิ๊บ “การเป็น “ปู่” ได้ ก็ต้องเริ่มจาก การมีลูก และลูกไปมีครอบครัว จึงจะมี “ หลาน “ ( ของตนเอง ) วันที่เป็นปู่วันแรก คือ วันที่ 20 มิถุนายน 2556 วันที่หลานน้ำผึ้งคลอดออกมาตาดูโลก มาถึงวันนี้ “ ปู่จิ๊บ “ เป็นปู่มาได้ 4 ปี เศษแล้ว นั่นคือ อายุของหลานน้ำผึ้ง ปู่จิ๊บ มองไปข้างหน้า ยังเห็นปัญหาอุปสรรคความยากลำบากและความทุกข์ยากของคนจน มีอีกมากมาย มองไปข้างหลัง อดีตที่ผ่านมา ดูเหมือนความทุกข์ยากของคนไทย มิได้ลดลง อาจจะมิใช่เรื่องเงินทอง แต่เป็นปัญหาความทุกข์ จากระบบโครงสร้างของสังคม และระบบยุติธรรม ยังไม่เป็นธรรมเสมอภาคเท่าเทียม โดยเนื้อหามิได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงยังคงไม่เป็นธรรม ไม่เสมอภาค แต่การใช้รูปแบบที่เปลี่ยนไป เช่น ระบบเลือกตั้งที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม มาโหมโฆษณาว่า “เป็นประชาธิปไตย” และกล่าวหาว่า “ การรัฐประหารเป็นเผด็จการทั้งหมด” โดยไม่ได้พิจารณาเนื้อหา และแยกแยะ เช่น ประเทศจีน หรือสิงคโปร์ เอาประชาชนส่วนใหญ่เป็นหลัก ทั่วโลกชื่นชม ทั้งที่การปกครองเผด็จการ เพราะหลักการของประชาธิปไตยที่ถูกต้อง คือ ของประชาชน โดยประชาชน และ เพื่อประชาชน อย่างที่ท่านพุทธทาส ได้เคยกล่าวเตือนคนในสังคมมมานานแล้ว : ธรรมาธิปไตย คือ ธรรมเป็นใหญ่ ต่อไปนี้เป็นหน้าที่ “ ปู่จิ๊บ “ ที่จะเล่า ให้ผู้อื่น ได้รู้ หลักการใช้ชีวิตและทำงานเป็นอย่างไร 1.มีความแก่ ในแง่ของอายุที่มากขึ้น แต่ยังไม่แก่เกินแกง ที่จะเดินหน้าทำงานเพื่อคนอื่นและส่วนรวมต่อไป เป็นเรื่องของทั้งสุขภาพของคนอายุรุ่นราวครานี้ ในยุคปัจจุบัน ที่การเกษียณทำงานไม่ได้ มันร่นออกไป 10 ปี เพราะ “ สุขภาพ “ ดีขึ้น จากหยุกยา อาหารการกิน การรักษาของวงการแพทย์ เภสัข และสมุนไพรประยุกต์ การบริหารและออกกำลังกายที่มีการประดิษฐ์ หรือค้นพบท่าใหม่ๆ โดยเฉพาะเกี่ยวกับการหายใจให้ลึกยาว และการเดินแกว่งแขนเป็นประจำวันทุกวัน ทั้งเช้าเย็นและเวลาที่สะดวก โดยทำเป็นประจำต่อเนื่องจะได้ผลดี 2.เรื่องของจิตใจ ที่จะต้องคิดบวก สร้างให้จิตใจเข้มแข็ง ซึ่งต้องทำเป็นประจำด้วย ใจที่เข้มแข็ง จะพัฒนาเสริมกายหรือสุขภาพให้แข็งแรง ใจที่สงบนิ่งจะสว่างไสวเกิดปิติสุข ทำให้กายสุขไปด้วย ใจจะมีบทบาทสูงมาก ใจสดชื่น คึกคักแจ่มใส จะส่งผลให้กายมีชีวิตชีวา สามารถโลดแล่นไปต่อได้ ไม่หยุด ผิดกับใจที่ห่อเหี่ยว ท้อแท้สิ้นหวัง หมดกำลังใจ จะทำให้กายหรือสุขภาพเสื่อมทรุด ไม่อยากอยู่ต่อไป กายใจต้องฝึกด้วย เรื่องของสังขาร กายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขาร ล้วนต้องฝึกฝน ปู่จิ๊บ จะให้เวลากับการฝึกฝนใจ หาวิธีการที่ครูบาอาจารย์ทำแล้วได้ผล มาทดลองมาปฏิบัติใช้กับตนเอง ทำอย่างเอาใจจดจ่อ ทำแล้วทำอีก จนได้สิ่งที่ใช่ สิ่งที่เหมาะสมกับตนเอง แล้วก็ปฏิบัติประจำ ต่อเนื่องไม่หยุด สมองและร่างกายรวมทั้งจิตวิญญาณของมนุษย์ สามารถฝึกและพัฒนาได้ เป็นความจริงทั้งทางศาสนาและโลก พระพุทธเจ้าบอกว่า “ มนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกได้ “ และทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่า “ ความสามารถในการพัฒนาตน” ยกตัวอย่าง คนที่ท้อแท้หมดหวังในชีวิต จะรอคอยความตาย ไม่ฝึกฝนอะไร แล้วก็อายุสั้นได้ตายจริงๆ แต่สำหรับคนอีกส่วนหนึ่ง รวมทั้งปู่จิ๊บ ฝึกฝนทั้งกายและใจ จึงยังคงแข็งแรง ไม่หมดแรงทำอะไรได้เยอะแยะ และการมีจิตใจที่หวังให้ หลานน้ำผึ้งและเยาวชนไทยมีอนาคตที่ดีขึ้น“ ทำให้ปู่จิตมีพลังมุมานะเอาจริง 3. การมีหน้าที่มีอุดมคติ ที่ทำงานส่วนรวมเพื่อคนอื่นและบ้านเมือง ทำให้เราเดินหน้าต่อไปได้ มันอาจจะเป็นเรื่องของจิตใจและความคิด ที่อยากจะอยู่เพื่อทำงานที่ค้างอยู่ ให้บรรลุให้ก้าวหน้าไป และเราก็ตั้ง “ คำถามกับตนเอง “ ที่ผ่านมาทำไมงานหรือเป้าหมายเพื่อจะสร้างประชาธิปไตยยังไม่บรรลุ เหตุอยู่ที่ไหน อุปสรรคอยู่ที่ใด ใครหรืออะไรเป็นเรื่องหลัก อะไรเป็นเรื่องรอง อะไรมาก่อนมาหลัง แล้วเราจะผลักดันแก้ไขให้ไปถึงฝั่งได้อย่างไร ต้องอาศัยใคร ต้องสู้กับใคร และใครที่ร่วมได้ใครที่ร่วมไม่ได้ เราจะต้องมีความรู้ความเข้าใจที่ได้จากการศึกษาเรียนรู้ให้ได้ของจริง ต้องกระจ่างชัดเจนในเส้นทางเดิน ส่วนสำคัญที่สุด คือ “ ตัวเราเอง มิใช่ไปพึ่งพาอาศัยคนอื่นหรือไปฝากอนาคตไว้กับเขา ตัวเราเอง มี 2 ด้าน ที่เราจะต้องทำความเข้าใจ “ ตัวเรา “ เป็นทั้งเรื่องยากที่สุดและง่ายที่สุด การชี้นิ้วกล่าวโทษหรือวิจารณ์คนอื่น ฝ่ายอื่น นักการเมือ นายทุนหรือรัฐบาล “ ง่ายมาก” ใช่ไหม แต่สิ่งที่ยากที่สุด คือ เขาไม่ทำตามที่เราชี้แนะ นอกจากการแก้ปัญหาของบ้านเมืองผิดที่ผิดทาง แต่สำหรับตัวเอง สิ่งที่ยากที่สุด คือ การมองความถูกผิดในสิ่งที่เราทำ คือ “ การมองตัวเอง “แต่เป็นสิ่งง่ายที่สุด และทำได้ทันที่ หากเราได้ศึกษาใช้สติปัญญาคิดพินิจพิเคราะห์ เพราะเป็นตัวเราเอง 4. เราจะทำอะไร คิดอะไร ก็เป็นการตัดสินใจของคนๆเดียว และคนนั้น ก็คือ ตัวเราเอง เริ่มจากตัวเอง หาความรู้ใช้สติปัญญา เข้าใจตัวเองและปัญหาเหตุปัจจัยของสังคม และแก้ที่ตนเองเป็นอันดับแรก ต่อไป การสร้างกลุ่มกับคนที่มีพลังเปลี่ยนแปลง ศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์ หาจุดของการเปลี่ยนแปลงและแนวโน้มความเป็นไปได้ แล้วเริ่มทำทั้งตัวเองกลุ่มและการประสานกับส่วนอื่นๆ พลังของเราไม่พอ แต่เราต้องเตรียมพร้อม เมื่อสถานการณ์เอื้ออำนวย ก็จะเป็นโอกาสของการเปลี่ยนแปลง 5. ปัญหาอุปสรรคในการเปลี่ยนแปลง คือระบบโครงสร้างของสังคมไม่เป็นธรรม ,คนไม่มีคุณภาพ ประชาชนที่ต้องการการเปลี่ยนปลง ต้องยึดหลักในการเปลี่ยนระบบโครงสร้าง ไปคู่กับการพัฒนาคุณภาพคน คือต้อง “ เดิน 2 ขา “ ใช้คนมีคุณภาพไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง และใช้ระบบที่เปลี่ยนมาพัฒนาคน ทำเป็นขบวนการ ทำอย่างมีจังหวะก้าวขั้นตอน ภายใต้แนวทางยุทธศาสตร์ยุทธวิธีที่ถูกต้องสอดคล้องกับสังคม เส้นทางการเดิน ไม่ราบรื่น แต่จะมีอุปสรรค มีขึ้นมีลง แต่โดยรวมต้องพยายามทำให้ก้าวหน้าขึ้น พลังในสังคม มี 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ฝ่ายต้องการเปลี่ยนแปลง และฝ่ายกลางๆ ฝ่ายที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงจะเริ่มจากมีพลังน้อย เมื่อทำงานได้ผล ฝ่ายกลางๆจะเริ่มมาเข้าร่วม เมื่อมีพลังเติบใหญ่ขึ้น จนสามารถได้ดุลกับฝ่ายต่อต้าน ซึ่งจะต่อกรกันไประยะยาวระยะหนึ่ง เมื่อมีเหตุการณ์ที่ทำให้ฝ่ายต่อต้านอ่อนแอ จากการผิดพลาดการบริหาร การใช้อำนาจเผด็จการโกงกิน อาจจะถูกกระบวนการยุติธรรมลงโทษ และอาจจะมีประเด็นเรื่องเศรษฐกิจสังคมที่ทำให้คนทนไม่ได้ รวมทั้งอาจจะมีสถานการณ์ทางการเมืองการทหารทางสากล ที่กระทบเข้ามาถึงประเทศไทย นั่น ก็จะเป็นจังหวะและโอกาสของการเปลี่ยนแปลง ซึ่งผู้นำการเปลี่ยนแปลงต้องกุมโอกาสให้มั่น ประเด็นสำคัญ ที่เราต้องเข้าใจให้แจ่มชัด คือการสร้างแนวร่วมและการพัฒนาทัศนคติของแนวร่วมคู่ไปด้วย 6.การจับเรื่องหลัก-รอง และการสร้างแนวร่วมกับฝ่ายประชาธิปไตยที่ขัดแย้งกับฝ่ายกุมอำนาจรัฐ เนื่องจากประชาชนที่ต้องการเปลี่ยนแปลง มีกำลังไม่พอหรือไม่ได้ดุลกับฝ่ายที่คัดค้านการเปลี่ยนแปลง และฝ่ายมีอำนาจรัฐและฝ่ายที่ได้เปรียบในสังคม แม้จะใช้อำนาจรัฐเพื่อตนเองแลพวกพ้อง แต่อีกด้านหนึ่ง ได้ใช้นโยบายหลอกลวง ในหลายรูปแบบ เช่นนโยบายประชานิยม ให้ประโยชน์แก่ชาวบ้านส่วนหนึ่งแต่ส่วนใหญ่ ให้แก่พวกพ้องบริเวณในทุกระดับ ตั้งแต่ตัวเองและพี่น้องครอบครัว รัฐมนตรี สส. ข้าราชการ ตำรวจอัยการ(บางส่วน) และผู้มีอิทธิพลในจังหวัด กำนันผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้งบริษัทผุ้รับเหมา โรงสี ที่เกี่ยวข้องกัน อีกทั้งการใช้สื่อทุกรูปแบบ นสพ. วิทยุ ทีวี โซเชียลมีเดีย sms ฯลฯ ทำงานอย่างเป็นเครือข่ายเป็นระบบ ทำให้ชาวบ้านไม่น้อยคล้อยตาม เกิดความเชื่อถือและศรัทธาตัวคุณทักษิณและนอมินี รวมทั้งพรรคเพื่อไทยฯ และเมื่อมีการเลือกตั้ง ก็มีการซื้อขายเสียง ใช้ข้าราชการ ตำรวจ กกต.และทหารบางส่วนเป็นเครืองมือฯ 7.โดยประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงสังคมที่มีลักษณะเช่นนี้ จะต้องใช้อำนาจรัฐโดยผู้นำที่เป็นรัฐบุรุษ กล้าเสียสละกล้าตัดสินใจ ดำเนินการเด็ดขาดจริงจัง ใช้ศาลและกระบวนการยุติธรรมอย่างเด็ดขาด เอาผิดลงโทษ ตรวจสอบและยึดทรัพย์สินที่ได้จากการใช้อำนาจรัฐไม่เป็นธรรม และปฏิรูประเทศอย่างจริงจัง โดยเฉพาะด้านการเมืองการเลือกตั้งสรรหาผู้แทนที่จะมาทำหน้าที่รัฐสภารัฐบาล ฯลฯ คือ ต้องทำให้ผู้นำที่มาเป็นรัฐบาลเป็นคนดีคนมีความรู้ความสามารถ เข้ามาบริหารประเทศ "... ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครทำทุกคนให้เป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อยจึงไม่ใช่อยู่ที่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากอยู่ที่การส่งเสริมคนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้" พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เมื่อได้หลักการหลักแล้ว ประชาชนที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง ต้องสร้างกำลังตนเองให้เข้มแข็ง สร้างแนวร่วมสามัคคีกับกำลังที่รักชาติรักประชาธิปไตยให้มากที่สุด โดยเฉพาะฝ่ายทหารที่มีกำลัง เรื่องนี้ สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชนจะเข้าใจดี แต่สำหรับประชาชนทั่วไป จะต้องทำความเข้าใจอย่างเป็นระบบ เอาตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม ชี้แจงให้เห็นความเป็นจริง สรุปบทเรียนของคนที่อุดมคติที่ผ่านโลกและชีวิตแห่งความเป็นจริง เข้าใจเส้นทางสู่ความสำเร็จ 1.ต้องเริ่มจากคิดพึ่งพาตนเองเป็นหลัก เป็นทางเดียว จะทำให้ไปสู่ความสำเร็จของบ้านเมืองได้ 2.ต้องเริ่มจากในวัยเด็กและการพัฒนาเติบใหญ่ในวัยเรียนการทำงานวัยกลางคนวัยเกษียณจนถึงวัยปู่ หรือ อาจจะลัดเข้ามาเส้นทางสายนี้ได้ ตามเงื่อนไขและช่วงเวลาที่มีความพร้อมที่จะร่วมแก้ปัญหาส่วนรวม โดยจะต้องทำอย่างเป็นประจำต่อเนื่องไม่หยุด และพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าขึ้นมาเป็นลำดับ 3.การศึกษาหาความรู้ เข้าร่วมปฏิบัติการที่เป็นจริง และหมั่นสรุปบทเรียนข้อบกพร่องผิดพลาดสม่ำเสมอ โดยใช้สติปัญญา ความจริงที่ได้มาจากการเรียนรู้ค้นคว้าด้วยตนเองและการแนะนำทำตามแบบอย่างที่ดี 4.ต้องมีเพื่อนแท้มิตรรู้ใจ ที่จะเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตาย ทักท้วงสนันสนุนให้กำลังใจในช่วงเดินทางไกล 5.ต้องแสวงหาประชาชนฝ่ายต่างๆที่มีรักชาติรักประชาธิปไตย ที่จะมาเป็นพลังของการเปลี่ยนแปลง 6.ต้องเข้าใจในภารกิจหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต ซึ่งจะทำให้เรามีความสุขไปตลอดของการเปลี่ยนแปลง 7.ต้องมีความหวังและความฝันที่จะทำเพื่อเยาวชนและอนาคตของประเทศ ที่จะทำให้เราเดินไปได้ตลอด 8.หากภารกิจเพื่อชาติบ้านเมือง ไม่สำเร็จในช่วงของเรา ก็ต้องมีการย่มเพาะคนรุ่นต่อไปที่จะมารับไม้วิ่งต่อไป นี่เป็นข้อคิดข้อสรุปของปู่จิ๊บ ที่พัฒนามาตั้งแต่เป็น ดช. เป็นนายชัยวัฒน์ เป็นลุงสุข เพื่อหลานน้ำผึ้งของปู่. เป็นชีวิตที่ไหลจากเนินเขาต้นน้ำ ผ่านลำธาร มาจดกันที่ม.เจ้าพระยา ของชีวิตหนึ่งที่รักแผ่นดินไทยยิ่งชีวิต