เสรี พงศ์พิศ FB Seri Phongphit เคยฟังแต่โหร คนมีญาณ นักอนาคตวิทยา นักสังคมศาสตร์ที่ทำนายอนาคตของมนุษยชาติ ลองฟังนักฟิสิกส์ทฤษฎีคนดังอย่าง Michio Kaku อเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้าน String theory ที่ทำให้ผู้คนทั้งตื่นเต้นและตื่นตระหนกด้วยคำทำนาย 3 เรื่องเมื่อต้นปี 2021 นี้ หนึ่ง คนจะไปอยู่ต่างดาว ดูจากวิสัยทัศน์หรือภาพนิมิตของนายอีลอน มัสก์ และเจฟ เบโซส ที่กำลังทำเรื่องนี้ คนแรกจะเอาคนไปดาวอังคารสักล้านคนด้วยจรวดหลายชนิด คนที่สองจะย้ายอุตสาหกรรมหนักไปอยู่นอกโลก เพื่อให้โลกกลายเป็นสวนสาธารณะ ที่ร่มรื่น ไม่มีมลพิษ มิชิโอะ คาคุ บอกว่า การเดินทางด้วยยานอวกาศด้วยความเร็วร้อยละ 20 ของแสงเป็นไปได้ และจะมีการส่งชิปไปเป็นพันๆ และทำงานด้วยหุ่นยนต์ที่จะผลิตตัวเองเป็นจำนวนทวีคูณ และจะไม่ไปเพียงดาวอังคารหรือดวงจันทร์ แต่จะไปดาว Proxima Centauri b ที่มีลักษณะคล้ายโลกมากที่สุด อยู่ห่างออกไป 4 ปีแสง สอง ความสามารถของสมองจะพัฒนาเพื่อการสื่อสารได้ ดร.คาคุบอกว่า มี 3 แผนที่คนได้พัฒนาขึ้นมาจากเทคโนโลยี แผนหนึ่ง คือแผนแมนแฮตตัน ได้พัฒนาระเบิดปรมณู แผนที่สอง แผนที่พันธุกรรม และแผนที่สาม ที่เกิดในยุคนายบารัก โอบามา คือ แผนสมองมนุษย์ แผนนี้ทำให้สมองของคนสามารถสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ได้ ใครที่เห็นภาพของสตีเฟน ฮอกิ้ง นักฟิสิกส์คนดังที่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่กี่ปี เขาพิการเดินไม่ได้ พูดไม่ได้ ที่กรอบแว่นตาด้านขวาจะติดชิปไว้ทำให้เขาใช้ความคิดสื่อสารไปพิมพ์เป็นตัวอักษรบนคอมพิวเตอร์ แล้วแปรออกมาเป็นเสียงพูดของเขาได้ โทรจิต (telepathy) วันนี้คือการเชื่อมสมองกับอินเตอร์เน็ต และการส่งความจำและอารมณ์ความรู้สึกเข้าไปในอินเตอร์เน็ต ความคิดอ่านของคนถูกใส่เข้าไปเป็นคลังข้อมูลที่ทำให้คนอื่นเข้าถึงได้หมด เป็นการสื่อสารทางจิต (mentally) คนอาจเพียงคิดก็ส่งอีเมลไปหาคนอื่นได้ ที่ผ่านมาได้มีการทดลองบันทึกความจำของหนู ของลิง และกำลังทำกับคนที่เป็นอัลไซเมอร์ ทำให้อินเตอร์เน็ตกลายเป็น “สมองเน็ต” (brainnet) ไปเลย สามารถส่งอารมณ์ ความรู้สึก ความทรงจำในอดีตไปให้คนอื่นได้ แทนที่จะส่งรูปหัวใจหรือรูปดอกไม้ในวันแห่งความรัก ก็ส่งความรู้สึกไปทางเน็ต นี่จะเป็นการปฏิวัติครั้งสำคัญ ก่อนนั้นมีหนังใบ้ มีแต่ภาพและเสียงดนตรี ไม่มีการพูด เมื่อหนังมีเสียง หนังใบ้ก็ล้าสมัย ต่อไปเราดูหนังก็จะเห็นภาพ ได้ยินเสียง และได้ “รู้สึก” ร่วมกับนักแสดงในหนังด้วย สาม เราจะเอาชนะมะเร็งได้อย่างแน่นอน ไม่ใช่ด้วยยา ผ่าตัด ฉายแสง แต่ด้วยวิทยาการที่ก้าวหน้าด้วยชีววิทยานาโนและปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งเป็นนวัตกรรมล้ำยุคที่กำลังเกิดขึ้น นวัตกรรมที่มาจากการค้นพบและการพัฒนาวิทยาศาสตร์มี 4 ยุคหรือ 4 คลื่นๆ ที่ 1 เป็นการพัฒนาพลังความร้อน การใช้ถ่านหินกับรถไฟ เรือกลไฟ เครื่องจักรอุตสาหกรรม คลื่นที่ 2 คือไฟฟ้าและคลื่นแม่เหล็ก ที่ทำให้เกิดวิทยุ ทีวี คลื่นที่ 3 คือ ทรานซิสเตอร์และเลเซอร์ ที่เราใช้ในคอมพิวเตอร์ การพิมพ์ สแกน บาร์โค้ด และอุตสาหกรรมหนักเบาต่างๆ คลื่นที่ 4 เป็นระดับโมเลกุล ที่ทำให้เกิดปัญญาประดิษฐ์ต่างๆ นาโนเทคโนโลยี ไบโอเทคโนโลยี ที่สำคัญ การรวมระหว่างเทคโนโลยีชีวภาพกับปัญญาประดิษฐ์จะก่อให้เกิดการปฏิวัติสำคัญในสิ่งต่างๆ รอบตัวเรา และจะเกิดขึ้นเร็ว เพราะคนยุคใหม่มีทุน มีเทคโนโลยี ไม่สามารถรอให้เจ็บป่วยด้วยโรคร้ายอย่างอัลไซเมอร์ พาร์กินสัน และมะเร็งได้ จึงทุ่มงบประมาณเพื่อการวิจัยและพัฒนาอย่างเต็มที่ “การแพทย์นาโน” (nanomedicine) คือ อาวุธอัศจรรย์เพื่อกำจัดโรคร้ายเหล่านี้ โดยอีกไม่นาน อุจจาระปัสสาวะของคนเราจะบอกว่าเรามีเชื้อมะเร็งที่กำลังก่อตัว และหลายปีข้างหน้าจะเป็นมะเร็ง เพราะเชื้อมะเร็งจะอยู่ในเลือดในของเหลวต่างๆ เมื่อรู้แต่เนิ่นๆ เช่นนี้ก็สามารถกำจัดได้ไม่ยาก ในอนาคตลูกหลานเราจะแปลกใจว่า ทำไมพ่อแม่ปู่ย่าตายายถึงกลัวมะเร็งกันมาก เพราะต่อไปมะเร็งคงไม่ต่างจากหวัด ซึ่งมีเป็นร้อยๆ ชนิด มะเร็งก็มีเป็นพันชนิด แต่ก็สามารถจัดการได้เหมือนหวัด มิชิโอะ คาคุ ทำนายไว้เมื่อต้นปี 2021 ขณะที่โลกกำลังสู้กับโควิด-19 แบบมีวัคซีนแล้วแต่ยังมี “ภาค 3 ภาค 4” ในหลายประเทศที่ต้องล็อกดาวน์กันหนัก เป็นที่เดือดร้อนกันถ้วนหน้า คนจึงสงสัยว่า ขนาดโควิดยังเอาไม่อยู่ แล้วโรคไม่ติดต่อร้ายแรงเรื้อรังอย่างมะเร็ง อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน จะไหวหรือ อีกทั้งโรคติดต่อจ่อฟักตัวหลายสายพันธุ์อีกเท่าไร ในสถานการณ์ที่คนอยู่อย่างขัดแย้งและทำลายธรรมชาติเช่นนี้ แต่ถ้าพิจารณาความก้าวหน้าของวิทยาการต่างๆ ก็น่าเชื่อว่า สิ่งที่นักฟิสิกส์ทำนายคงเป็นอะไรที่เกิดขึ้นได้ เพราะเขาไม่ได้ “นั่งเทียน” พูด แต่มีข้อมูลเชิงประจักษ์ อย่างที่เราเห็นการส่งจรวด ส่งยานอวกาศของเอกชนอเมริกัน และของหลายประเทศ หรือความก้าวหน้าในด้านปัญญาประดิษฐ์ ที่มาแทนคนได้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็มีคำถามว่า ทำไมไม่ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อให้โลกอยู่ได้โดยไม่ต้องไปโลกอื่น แก้ปัญหาโลกร้อนที่มาจากวิถีการผลิต ระบบเศรษฐกิจที่เน้นเติบโตไม่หยุดจนที่สุดโลกก็จะไม่เหลืออะไร กินตัวเองทำลายตัวเอง มีนวัตกรรมเกิดใหม่ทุกวันเป็นร้อยเป็นพันที่เราไม่รู้ ตามไม่ทัน รู้อีกทีก็วางขายตามห้าง อย่างสมาร์ทโฟนที่ทำได้สารพัด เราอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านที่สำคัญของมนุษยชาติ ด้านหนึ่งก็น่าตื่นเต้นที่มีเทคโนโลยีแก้ปัญหาโรคภัยไข้เจ็บ การปฏิวัติพลังงาน มีนวัตกรรมดีๆ ที่เพิ่มคุณภาพชีวิต แต่อีกด้านหนึ่งก็มองเห็นความล้าหลังของผู้คน ใช่แต่ชาวบ้าน แต่รัฐบาลที่ตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลง ปล่อยให้เกิดช่องว่างระหว่างผู้คนมากขึ้น คนมีกับคนไม่มี ทั้งสินทรัพย์และความรู้ การปฏิรูปการศึกษาจึงสำคัญที่สุดเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้า ปรับตัวตามโลกได้ และลดความแตกต่างห่างเหินที่เรียกว่าเหลื่อมล้ำนี้