แสงไทย เค้าภูไทย มีการโปรโมตการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 จนแทบจะกลายเป็นยาเทวดา ซึ่งอาจทำให้คนหลงเชื่อว่าเป็นยารักษาโควิด -19 ได้ชะงัดแล้วไปซื้อมาใช้กันโดยไม่ได้คิดถึงพิษภัยอันเกิดจากอาการไม่พึงประสงค์จากผลข้างเคียงของยา ตามที่คณาแพทย์ได้แถลงผ่านคลิปตามสื่อถึงหลักในการใช้ยานั้น ท่านแจงเฉพาะการรักษาไข้โควิด-19 กับข้อจำกัดในการใช้ยาเท่านั้น แต่ก็มีหลายสิ่ง หลายด้านที่คุณหมอท่านบอกไม่หมด ซึ่งก็คงจะไม่จำเป็นต้องบอกหมด เพราะท่านต้องการให้คนที่ต้องการใช้ฟ้าทะลายโจร เข้าใจถึงการใช้อย่างปลอดภัย เท่านั้น อย่างเช่นยาฟ้าทะลายโจรที่นำมาใช้นั้น เป็นสารสกัดจากใบฟ้าทะลายโจร โดยสกัดเอาแต่สาร Andrographolide มาใช้เท่านั้น ตัวที่เป็นพิษคือ andrographolide 3 (AP3) นั้นสกัดทิ้งไป เป็นต้น ฟ้าทะลายโจร มีสารสำคัญคือ Andrographolide 1 (AP1) ที่พ้องกับชื่อวิทยาศาสตร์ของมัน (Andrographis paniculata) สรรพคุณคือลดไข้ แก้ต่อมทอนซิลอักเสบ เจ็บคอ ไอ น้ำมูกไหล เสมหะ ทางเดินหายใจอักเสบ อ่อนเพลีย(เพราะพิษไข้) ฟ้าทะลายโจรดิบ ที่มักจะเป็นผงใส่แคปซูลจำหน่ายกันทั่วไปนั้น มีสารสำคัญที่ทั้งรักษาอาการไข้และก่อเกิดอาการไม่พึงประสงค์ กลุ่ม AP อยู่ 4 ตัว ตัวที่ก่อให้เกิดอาการข้างเคียงสำคัญคือ AP3 ไดดีไฮโดรแอนโดรกราโฟไลด์ ( 14-deoxy-11,12 didehydroandrographolide) ที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยเฉพาะแขนขาอ่อนแรง ซึ่งหมอในคลิปแถลงข่าวท่านบอกว่า ฟ้าทะลายโจรที่ให้แก่คนไข้ติดเชื้อโควิด-19 นั้น เป็นสารสกัด ได้ตัด AP 3 ออกไปแล้ว แสดงว่า ที่บอกว่าให้ไปซื้อหามากินกันเองทั้งแบบผงแคปซูลและรูปแบบอื่นๆมันยังมี AP3 อยู่ คือไปเสี่ยงกันเอาเอง พิษวิทยาของฟ้าทะลายโจร ด้านอื่นๆยังมีอีกหลายด้าน รายงานของ The European Medicines Agency (EMA) กล่าวว่า สารสกัดฟ้าทะลายโจรไม่ก่อพิษเฉียบพลันหรือก่อเกิดพิษต่อยีน (genotoxicity) แต่สารสกัดในขนาดสูงจะก่อเกิดพิษต่อระบบสืบพันธุ์ในหนู ทำให้จำนวนอสุจิลดปริมาณและการเคลื่อนที่ช้าลง (1) คนไข้ที่แพ้ยาปฏิชีวนะไม่ควรใช้ (มีการให้ฉายาฟ้าทะลายโจรว่า Green Penicillin เพนนิซิลลินเขียว) โดยบางคนจะมีอาการแพ้ ที่พบบ่อยคือ ปวดท้อง หรือท้องเสีย ปวดเอว เวียนศีรษะ อาการผื่นคัน ลมพิษ จนถึงอาการแพ้ขั้นรุนแรง หากให้โดยการฉีดหรือใช้ในขนาดสูง กรณีนี้ ทำให้จีนเลิกใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาไวรัสมรณะนี้ในช่วงระบาดรุนแรงที่อู๋ฮั่น การใช้ด้วยยาฉีดให้พึงระวัง อย่างกรณีแพทย์อินเดียที่ฉีดไดโคลฟิแนคให้ภรรยาที่เป็นแพทย์เหมือนกันเพื่อลดอาการอันเกิดหลังได้รับวัคซีน ผลคือตาย ทั้งๆที่ไดโคลฟิแนคชนิดเม็ดก็ไม่ต่างจากพาราเซททาม่อล ใช้แทนกันได้ สำหรับการใช้ฟ้าทะลายโจรด้วยตัวเอง คุณหมอที่ออกมาแถลงข่าว เตือนว่า ไม่ควรใช้นานเกิน 2 วัน ถ้าไม่หาย ให้รีบไปพบแพทย์ด่วน อันที่จริงแล้ว cut point ของมันคือ 3 วัน แต่ก็ดีแล้ว ที่กำหนดระยะปลอดภัยสั้นลง ซึ่งตามปกติแล้ว ไข้หวัดธรรมดา ที่มีอาการนำแบบเดียวกันกับอาการติดเชื้อไวรัสก็เป็นแบบนี้ กินยาหายภายใน 48 ชั่วโมงคือ 2 วัน เหตุนี้โรงพยาบาลในอเมริกา และยุโรปที่ไม่สามารถรับคนไข้เข้ารักษาได้เพราะล้นโรงพยาบาล จึงมักจะจ่ายยาพาราเซททาม่อล(มีงานวิจัยจันทลีลา เทียบว่าเป็นพาราเซตามอลไทย) แก่คนไข้ที่อาการยังไม่รุนแรง ให้กลับไปกินที่บ้านเพื่อลดอาการทรมานจากไข้ บางคนกินมากินไป เกิดหายเอง เพราะ antibody เกิดขึ้นแล้วเข้ามาจัดการกับไวรัสผู้บุกรุกจนสิ้นฤทธิ์ ยังมีสมุนไพรไทยที่รักษาโคโรนาไวรัสได้อีกหลายตัว ที่น่าจะดีกว่าฟ้าทะลายโจรก็คือลิ้นงูเห่า รักษาไข้หวัดใหญ่ H3N2,H1N1(ไวรัสไข้หวัดใหญ่กลายพันธุ์เป็นพันธุ์ผสมพันธุ์ Seasonal flu + Swine Flu+Bird Flu)และ Type B ได้ดี ไม่เกิดอาการข้างเคียง มีประสิทธิผลเทียบกับ oseltamivir ชื่อการค้า Tamiflu เปรียบเทียบผลการรักษาโดยประมาณ: Tamiflu 84% effectiveness ลิ้นงูเห่า 42% ฟ้าทะลายโจรร้อยละ 15 โหระพาที่มีฤทธิ์ต้าน H3N2 ร้อยละ 24 และต้านType B ร้อยละ 9 กะเพราที่มีฤทธิ์ต้าน H3N2 ร้อยละ 19 ฯลฯ ( ผศ.ภญ.ดร.มะลิ วิโรจน์แสงทอง ภาควิชาชีวเคมีและจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ) แต่แม้ฤทธิ์ต้านไวรัสจะมีประสิทธิผลต่ำกว่า Tamiflu ทว่าเมื่อตรวจเลือดแล้ว พบว่ามี antibody สูงกว่า Tamiflu จึงน่าจะนำมาทดลองใช้ ร่วมกับเสลดพังพอนที่ใช้รักษา HIV แบบเดียวกันกับรพ.ราชวิถีใช้ Tamiflu ควบ lopinavir/ritonavir รักษาหญิงชรานักท่องเที่ยวจีนที่ติดเชื้อโควิดช่วงระบาดใหม่ๆ ทั้งลิ้นงูเห่าและเสลดพังพอนผ่านการทดลองในสัตว์ทดลองมาแล้ว เชื่อว่าในระดับคลินิกก็น่าจะได้ผลไม่ต่างกัน