เสรี พงศ์พิศ www.phongphit. ห้าสิบปีที่ผ่านมา มีไวรัส 2 ตัวที่สะท้อนความเปราะบางของมนุษยชาติ หนึ่ง HIV ที่คนติด 76 ล้าน ตาย 32 ล้าน ยังติดอยู่ 38 ล้าน เริ่มเมื่อปี 2524 ที่สหรัฐฯ และ 2527 ที่เมืองไทย ยังเป็น “ตราบาป” ให้ผู้ติดเชื้อจนถึงทุกวันนี้ ความจริง เชื้อไวรัสตัวนี้ติดยาก หลักๆ คือ ทางเพศสัมพันธ์และทางเลือด ทางอื่นๆ แทบเป็นศูนย์ แต่คนก็ยังติดกันได้ทุกวัน สอง โควิด-19 ไวรัสที่นึกว่าเหมือนไข้หวัดใหญ่ แต่ไปๆ มาๆ ใหญ่กว่าและร้ายกว่ามาก สะเทือนโลก สะเทือนขวัญ ทำเอาระบบสุขภาพ ระบบเศรษฐกิจ ระบบสังคมปั่นป่วนและหายนะ คงหลายปีกว่าจะฟื้นคืนมาได้แม้มีวัคซีน เพราะไวรัสนี้คงอยู่กับมนุษยชาติไปอีกนาน โรคร้ายเหล่านี้มาจากพฤติกรรมของคนและสังคมมนุษย์ ที่ “ดีชั่วรู้หมดแต่อดไม่ได้” เต็มไปด้วยโลภ โกรธ หลง ในอำนาจ ทรัพย์สินเงินทอง กามเกียรติที่เกี่ยวโยงกันไปหมด พิจารณาแค่กรณีจุดแพร่เชื้อใหญ่ที่ “ซอยทองหล่อ” ที่สะท้อนที่ “กินกามเกียรติ” ของคนมีเงิน มีอำนาจทางการเมืองและสังคมไปชุมนุมกัน เพราะเป็นที่กระจายเชื้อจึงถูกประณามว่าเป็นพวก “ฝนตกขี้หมูไหล” วันนี้สื่อและผู้คนชี้นิ้วไปโทษการเมือง ผู้นำที่ต้องรับผิดชอบ เพราะจุดแพร่เชื้อโควิด-19 สามระลอกใหญ่นี้มาจากความบกพร่องของการเมืองการปกครองที่ขาดธรรมาภิบาล เรียกร้องให้ประชาชนเคร่งครัด แต่ ตัวเองหละหลวมจนเกิดเรื่อง เกิดแหล่งแพร่เชื้อใหญ่กระจายไปทั่วประเทศ จนอาจจะตามไม่ได้ไล่ไม่ทัน อุตส่าห์ทำแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี แต่คาดไม่ถึงว่าโควิดจะมา มาระลอกหนึ่งก็ว่าไม่ถึงกับเสียหายอะไร ไม่ได้จองวัคซีนอย่างที่ประเทศอื่นเขาทำกัน ประเทศเหล่านั้นมีแผนสั้นแผนยาว แผนหนึ่งแผนสอง แผนสำรอง รองรับสถานการณ์เลวร้ายสุด เขามีกันหมด ของเรามีแต่หลงตัวเองตามที่โลกยกย่องว่า จัดการโควิดได้ยอดเยี่ยม โดยไม่คิดว่า ระลอกสองแล้วจะมีระลอกสามตามมาอย่างคาดไม่ถึง แถมเป็นตัวกลายพันธุ์อีกต่างหาก ที่สำคัญ สั่งการให้ชาวบ้านเคร่งครัด การ์ดไม่ตก กลายเป็นว่า จุดเริ่มต้นมาจาก “ฝ่ายอำนาจ” เองทั้งสิ้น จนชาวบ้าน “ด่า” กันทั่ว “ติดคนรวย ซวยคนจน” กระจายไปทั่วทุกจังหวัด คนที่ลำบากคือชาวบ้านร้านตลาด ไปซื้อของแล้วสงสารพ่อค้าแม่ค้า หาเช้ากินค่ำ สิ่งที่พวกเขากริ่งเกรงมานานก็เกิดขึ้นจริง พังกันคราวนี้ ขณะที่โรงพยาบาลเริ่มมีปัญหาในการรองรับผู้ป่วย เตียงจะไม่พอ ยาก็กำลังหมด วัคซีนก็มาเหมือนไม่มา เพราะนิดเดียว คนหวาดผวากับโรงพยาบาลสนาม เพราะภาพที่ส่งต่อกันไปในโซเชียลมีเดียเป็นอะไรที่บางแห่งเรียกว่า “อนาถา” ได้เลย แล้วใครจะอยากไป พอกักตัวเองในบ้านก็ติดกันทั้งบ้าน ดูแลตัวเองไม่เป็นหรือไม่ดีพอ ป่วยหนักเรียกรถฉุกเฉินก็ไม่มี ตายไปหลายคนอย่างที่เป็นข่าว สถานการณ์โกลาหลแบบนี้ เหมือนเรือแตก คว้าอะไรได้ก็คว้า ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เพื่อไม่ให้จมน้ำตาย วันนี้จึงมีฟ้าทะลายโจร เป็นหัวหน้าสมุนไพรอย่างขิง ข่า มะกรูด มะนาว น้ำผึ้ง และอื่นๆ ซึ่งเป็นอะไรที่หาได้ง่าย แต่ก็มาทะเลาะกันเรื่อง “ฟ้าทะลายโจร” อีก พอมีผลประโยชน์ก็เหมือนแร้งลง บ้านเราไม่มีการให้ความรู้ประชาชน ให้เข้าใจความแตกต่างระหว่างการแพทย์แผนปัจจุบันและแผนไทยแผนโบราณ ระหว่างวิธีคิดสองแบบที่แตกต่างกัน เรามีแพทย์แผนปัจจุบันที่เป็นกระแสหลักและครอบงำวิถีชีวิตและวิธีคิดของชาวบ้าน แทนที่จะทำให้คนรู้ว่า หัวใจของแพทย์แผนโบราณ คือ การดูแลตัวเองให้แข็งแรง มีภูมิคุ้มกัน มีความสมดุลในธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็เอาฟ้าทะลายโจรไปทำเป็นยาปัจจุบัน รัฐบาลกระทรวงสาธารณสุขจึงไม่ได้สนใจที่จะให้ความรู้ส่งเสริมการดูแลสุขภาพตนเองของประชาชน ให้ปลูกสมุนไพร ปลูกฟ้าทะลายโจร ไม่ได้ให้รพ.สต.เกือบ 10,000 แห่ง และอสม.ที่มีกว่าหนึ่งล้านคน ส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกฟ้าทะลายโจร แค่แจกเมล็ดคนละนิด หว่านทีเดียวก็กระจายไปทั่วปานวัชพืช โรคเอดส์ระบาดหนักในเมืองไทยเมื่อปี 2532 เพราะมีการปล่อยนักโทษจากเรือนจำหลายหมื่นคน “ติดเอดส์” จากในคุก ออกมาแพร่ระบาดไปทั่วประเทศ ไม่กี่ปีเป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน เพราะรัฐบาลปิดบังสถานการณ์ กลัวกระทบการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นรายได้สำคัญ รัฐบาลไทยล้มเหลวในการบริหารจัดการกับโรคระบาดทั้งเอดส์และโควิดที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ โดยเฉพาะเศรษฐกิจ ไม่มีระบบโครงสร้างอะไรรองรับ มีแต่แจกกับแจกเพื่อจะได้บรรเทาและหวังให้ระบบเศรษฐกิจไม่หยุดนิ่ง เหมือนรถที่ต้องหยอดน้ำมันเครื่อง โดยไม่สนใจว่า ทิ้งใครไว้เบื้องหลังเท่าไร สังคมไทยเหมือนคนขี้โรค อ่อนแอ ไม่มีภูมิคุ้มกัน เจอไวรัสตัวไหนมาก็ป่วย ไม่มีอำนาจใดคาถาใดที่ปัดเป่าอันตรายได้ เพราะระบบโครงสร้างที่ไม่แข็งแรง นอกจากจะกระจายอำนาจ คืนอำนาจให้ประชาชน คืนสุขภาพให้ประชาชน คืนการศึกษาให้ประชาชน คืนการพัฒนาให้ประชาชน ลองคิดถึงชุมชนในอดีต โดยเฉพาะที่อยู่ตามป่าตามเขา ไกลปืนเที่ยงทั้งหลาย ชาวบ้านเขาอยู่กันเป็นชุมชน ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน พึ่งพาตนเองได้ ดูแลกันเอง มีหมอยาแก้ปัญหาความเจ็บป่วย มีคนเฒ่าคนแก่แก้ปัญหาความขัดแย้ง คือยุติธรรมชุมชน ไม่มีหมอไม่มีโรงพยาบาล ไม่มีตำรวจทหาร อัยการผู้พิพากษา บ้านเมืองที่พัฒนาแล้วอย่างสวิสและอีกหลายประเทศ เขาเหมือนกลับไปสู่สภาพที่ว่านี้ คือ ประชาชนปกครองตนเอง พึ่งพาตนเอง รัฐหลวงมีหน้าที่ส่งเสริมสนับสนุนเท่านั้น บ้านเรารวบอำนาจไว้เองหมด จัดการเองหมด แต่ทำไม่ได้ดี เอชไอวีมา โควิดมาสยบอหังการนี้ เป็นรัฐผูกขาดอำนาจที่ล้มเหลว