ศ.ดร.ไชยา ยิ้มวิไล “ยุทธศาสตร์ชาติ” ที่ในอดีตไม่เคยมีมาก่อนนอกจาก “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฯ” จนสมัยรัฐบาลปัจจุบันที่กำหนด “ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” ที่จำต้องตีกรอบในการพัฒนาประเทศในทิศทางที่ต้องเดินหน้าไปให้ได้ โดยไม่ต้องมีใครสามารถแตะต้องหรือยุติได้ จนต้องมีมติคณะรัฐมนตรีกำหนด “ร่างพ.ร.บ.ระเบียงเศรษฐกิจ EEC” เมื่อการประชุมครม.สัญจรที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่กว่าจะเป็นพระราชบัญญัติ หรือเป็นกฎหมายก็ต้องผ่าน “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)” ให้เรียบร้อยก่อน ซึ่งคาดว่าไม่น่าเกินหนึ่งเดือน ปัจจุบัน “การปฏิรูปประเทศ” นับว่ามีความสำคัญอย่างมากที่จำต้อง “สร้างสะพานทอดข้าม” สู่ “อนาคตประเทศไทยยุคใหม่” ที่อย่างไรก็ตามก็ต้อง “กำหนดนโยบาย” ที่ต้องเป็น “ยุคใหม่” ทั้งนี้ต้องอาศัย “แนวคิดและทฤษฎียุคคลาสสิค” ที่ต้องกำหนดแนวทางและทิศทางในการแก้ไขปัญหา เพื่อเดินหน้าสู่การปฏิรูปและพัฒนาประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน ต้องสามารถ “ก้าวข้ามปัญหาปัจจุบัน” ที่สังคมยุคใหม่เป็นสังคมที่สลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะข้อมูลข่าวสารด้าน “โซเชียลมีเดีย” ที่สังคมยุคใหม่บริโภคมากยิ่งขึ้น จนมีผสมผสานทั้งข่าวจริงและข่าวเท็จ ตลอดจนรวดเร็วมากที่ต้องทั้ง “เคาท์เตอร์ (COUNTER)” หรือ “เผชิญหน้า-ชน” กับปัญหาทันที โดยไม่สามารถเดินหนีปัญหาได้ ทั้งนี้ไม่อธิบายก็ต้อง “เดินชนเลย!” เนื่องด้วยความรวดเร็วของการเปลี่ยนแปลงข้อมูล อย่างไรก็ตาม “สภาวะสังคมยุคใหม่” ที่มุ่งเน้น “นวัตกรรมและเทคโนโลยี” ที่การวิจัยและพัฒนาต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อ “ยกระดับสังคมให้ทันสมัยและทันต่อเหตุการณ์” โดยเฉพาะความสลับและซับซ้อน บวกกับเด็กและเยาวชนรุ่นใหม่ที่ทั้งสนใจและไม่สนใจใดๆ เลย มีทั้งเสพยาเสพติด หรือไม่ก็เสพข้อมูลข่าวสาร แต่ที่แน่ๆ “สังคมตัวใครตัวมัน” กับ “สังคมใครมือยาวสาวได้สาวเอา” เนื่องด้วย “สังคมแก่งแย่ง” จน “ขาดการอบรมบ่มสั่งสอน” จาก “ทั้งระบบการศึกษา-ระบบสังคมผู้สูงอายุ” ที่นับวันจะขาดแคลนไปทุกขณะ หรือกล่าวอย่างภาษาชาวบ้านว่า “ค่อยๆ ห่างเหินไปทุกขณะ!” ถ้าจะว่าตามความเป็นจริงแล้ว ปัจจุบันสังคม การเมือง เศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม การเมืองระหว่างประเทศจะเป็นอย่างไร ต้องเรียนตามตรงว่า มีจำนวนเยาวชนรุ่นใหม่สนใจมากน้อยเพียงใด หรืออาจไม่สนใจเลย มีแต่เล่นเกมส์ หรือไม่สนใจแม้แต่ “ประวัติศาสตร์-วัฒนธรรมไทย-วัฒนธรรมโลก-ขนบธรรมเนียมประเพณีไทย-โลก” ซึ่งจากกรณีดังกล่าว ต้องยอมรับและถามว่า “เราจะทำอย่างไรดี” กับ “การสร้างกรอบ-ตีกรอบ” ให้เด็กและเยาวชนปริมาณไม่น้อยกว่าร้อยละ 60-70 นี้เกิดความสนใจกับ “ความเป็นจริงของโลกที่เราอยู่!” นอกเหนือจากนั้น ความจริงที่ต้องยอมรับว่า “เราปล่อยปละละเลยปัญหามาอย่างยาวนาน” โดยที่มีทุกภาคส่วนโดยเฉพาะ “ภาคการเมือง” มีแต่ “นโยบาย” แต่มิได้ทำจริงเพียง “แถลงเฉยๆ!” แต่มิได้นำไปปฏิบัติ ส่วน “ภาคราชการ” นั้น ในเมื่อภาคการเมืองมิได้ผลักดัน จึงเกิด “เช้าชามเย็นชาม” หรือ “ต่างคนต่างอยู่” หรือไม่ก็ “ต่างฝ่ายต่างหาประโยชน์” หรือเลวร้ายไปกว่านั้นคือ “ต่างฝ่ายต่างร่วมหาประโยชน์กัน” หรือจะกล่าวอย่างเลวร้ายต้องเรียนว่า “ทุจริตคดโกงร่วมกัน!” เรียกว่า “หมักหมมมาหลายสิบปี!” จนมาถึงยุครัฐบาลปัจจุบัน ที่ต้องเริ่มคิดเอาจริงเอาจังกับ “การแก้ไขปัญหา” ด้วยการ “รื้อฟื้นกับปัญหา” พร้อมทั้ง “ปฏิรูป” และ “พัฒนา” ไปพร้อมๆ กัน โดยเริ่มตั้งแต่ปลายปี 2557 โดยที่ยังอาจชากับปัญหาอยู่ในช่วงเริ่มต้น จนต้องระดมสมองจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะ “ภาคเอกชน” และ “ภาคราชการ” โดยอาจทิ้ง “ภาคการเมือง” ไว้ข้างหลังเนื่องด้วย “ความไม่ไว้วางใจ” แต่ที่สำคัญ “แนวคิดการก้าวข้ามความสับสน” โดยเฉพาะ “ความขัดแย้ง” เพื่อมุ่งสู่ “ความปรองดองสมานฉันท์” เริ่มเดินประมาณไตราสแรกของปี 2558 ด้วยการประสานรอยร้าวกับกลุ่มที่มีแนวคิดตรงกันข้ามกับฝ่ายทหาร และแน่นอนกับต่างประเทศเพื่อสร้างความเข้าใจว่า “กองทัพเข้ามาชั่วคราวโดยกำหนดโรดแม๊ปว่ามีการเลือกตั้งภายในปลายปี 2561” และพยายามจะไม่ยึดอำนาจต่อไป! จากการตั้ง “คณะกรรมการสามัคคีปรองดองฯ” จนกำหนด “คณะกรรมการสร้างความมั่นคง-คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ-คณะกรรมการฯ” เป็นต้น จนมาเป็น “คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” เพื่อกำหนดกรอบและทิศทางในการให้ประเทศชาติเดินหน้าให้อยู่ในกรอบ พัฒนาประเทศให้ก้าวข้ามเป็นสะพานสู่อนาคตให้ประเทศไทยพัฒนาสู่ความทันสมัย เป็นศูนย์กลางของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่ต้องอาศัย “จีน” เป็นแหล่งเงินทุนสำคัญในการสร้างระบบขนส่งและโลจิสติกส์สำคัญในการเชื่อมโยงทิศเหนือจรดใต้ และทิศตะวันออกสู่ทิศตะวันตก หรือ “NORTH-SOUTH ECONOMIC CORRODOR” และ “EAST-WEST ECONOMIC CORRIDOR” ทั้งระบบรถไฟรางคู่ และรถไฟความเร็วสูง บวกกับระบบถนนมอเตอร์เวย์ในอีกประมาณ 10 ปีข้างหน้า แม้กระทั่งญี่ปุ่นก็จะร่วมด้วย! เหตุผลสำคัญ เนื่องด้วยประเทศไทยเป็นจุดศูนย์กลาง (HUB) สำคัญที่ต้องผ่านประเทศไทยโดยปริยาย ถามว่าเราหนีพ้นได้หรือไม่กับการเป็นฮับ ศูนย์กลางเราหนีไม่พ้นแน่นอน “โอกาสนี้เป็นของเรา” ที่รัฐบาลปัจจุบันต้องฉวยโอกาสที่ต้องรีบเร่งลงทุนภายใน 1-2 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)” ที่รวม 3 จังหวัด : ชลบุรี-ฉะเชิเทรา-ระยอง ซึ่งจะเป็นเขตเศรษฐกิจที่มีการลงทุน แหล่งอุตสาหกรรมมหาศาลที่จะมีสหรัฐฯ ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ แม้กระทั่ง เยอรมันนี อังกฤษ ฝรั่งเศส มาร่วมลงทุน แต่ญี่ปุ่นน่าจะมากที่สุด ที่จะปักหลักกับประเทศไทยจนรัฐบาลไทยต้องกำหนดพ.ร.บ.เขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC เป็นกรณีพิเศษที่นักการเมืองไม่สามารถแตะต้องได้เลย แม้กระทั่งรัฐบาลคสช.ผ่านพ้นไปแล้ว การก้าวข้ามความขัดแย้ง และกำหนดยุทธศาสตร์เชิงวิสัยทัศน์สู่อนาคตข้างหน้านั้น นับว่าเป็น “วิธีคิด-วิถีคิด” ที่เราต้องมองสู่ “อนาคตไทย” เพื่อ “ลูกหลานของเด็กไทย” ในอนาคตอีก 20 ปี ที่คนรุ่นยุคเราต้องเร่งสร้างภายใน 5 ปีนี้ โดยอาจต้องเร่งระดมสรรพกำลังทั้ง “ภาคทหารยุคใหม่-ภาคเอกชน-ภาคประชาชน” ที่มีแนวคิดเพื่อ “กำหนดอนาคตประเทศไทย” และสำคัญที่สุดเพื่อ “สร้างสะพานทอดข้ามสู่อนาคตสู่ไทยยุคใหม่” เพื่อความ “ทันสมัยก้าวสู่ความศิวิไลซ์ของโลกสมัยใหม่ทั้งด้านสังคม การเมือง เศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม และคุณภาพชีวิตคนไทย!” …………………………