ทวี สุรฤทธิกุล วันนี้เบื่อการเมืองไทย จะขอพาไปท่องเที่ยวอวกาศในระบบสุริยจักรวาล ในช่วงกักตัวอยู่บ้านเนื่องด้วยการระบาดของโควิดที่รายรอบอยู่รอบตัว ทำให้ต้องหาอะไรทำแก้เซ็ง ที่ผู้เขียนชอบที่สุดคือนั่งดูทีวี พอดีกับที่บริษัทอินเตอร์เน็ตที่ใช้บริการอยู่เขามีโปรโมชั่นแถมกล่องดูทีวีมาให้ ซึ่งมีช่องทีวีมากมายให้เลือกชม โดยเฉพาะช่องของต่างประเทศ ดังที่เมื่อค่ำวันพฤหัสฯที่ผ่านมาได้เปิดดูรายการของช่อง BBC Earth ชื่อรายการว่า The Planets 1 ซึ่งก็คงหมายถึงเป็นภาคแรกของการศึกษาเกี่ยวกับดาวเคราะห์ ด้วยความสนใจส่วนตัวจึงนั่งชมไปจนจบในเวลาสักหนึ่งชั่วโมง แต่แรกคิดแต่เพียงว่าดูเอาความเพลิดเพลิน แต่พอดูจบแล้วก็มานึกย้อนว่า “นี่มันมองเป็นการเมืองก็ได้อีกด้วย” ผู้เขียนนึกย้อนไปถึงสมัยที่เรียนอยู่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อกว่า 40 ปีก่อนนี้ ท่านอาจารย์ชัยอนันต์ สมุทวณิช ตอนนั้นยังหนุ่มแน่นอายุสัก 30 กว่า ๆ แต่ได้เป็นศาสตราจารย์เมื่อตอนอายุแค่ 29 ปี ท่านได้สอนวิชาหลักรัฐศาสตร์และการบริหาราชการไทย ผู้เขียนชอบการสอนของท่านมาก ด้วยลีลาการบรรยายที่เผ็ดร้อน วิพากษ์วิจารณ์การเมืองและผู้นำอย่างดุเดือด ถูกใจบรรดาวัยรุ่นฮาร์ดคอร์ในหมู่นิสิตยุคนั้นเป็นอย่างยิ่ง แต่ที่ผู้เขียนชอบท่านเป็นการเฉพาะตัวก็คือ การเชื่อมโยงประเด็นการเมืองไทยเปรียบเทียบกับของต่างประเทศ ให้เห็นว่า “อ่อนด้อย” หรือล้าหลังกว่านานาประเทศนั้นอย่างไร ทำให้เลือดรักชาติพลุ่งพล่าน อยากเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองนี้ให้เจริญ แต่ที่รู้สึกรุนแรงยิ่งไปกว่านั้นก็คือ “อยากเป็นนายกรัฐมนตรีจังเลย” ท่านอาจารย์ชัยอนันต์ยังชอบนำความรู้ใหม่ ๆ เกี่ยวกับวิชารัฐศาสตร์ มากระตุ้นความใคร่รู้สำหรับผู้สนใจอยู่เสมอ ครั้งหนึ่งท่านได้พูดถึงเรื่อง “ฟิสิกส์การเมือง” ที่ผู้เขียนจำติดหู เพราะส่วนตัวเป็นคนชอบเรื่องดาราศาสตร์อยู่แล้ว จึงตั้งใจฟังเป็นพิเศษ เพราะวิชาดาราศาสตร์กับฟิสิกส์เป็นเรื่องที่แยกกันไม่ออก อย่างที่ผู้เขียนได้เรียนมาในตอนชั้นมัธยมว่า ฟิสิกส์เป็นรากฐานของดาราศาสตร์ ถ้าเราเข้าใจฟิสิกส์แล้วเราก็เข้าใจโลกและจักรวาลนี้ในที่สุด แต่พอท่านอาจารย์ชัยอนันต์นำมาเชื่อมโยงกับเรื่องการเมือง ก็ยิ่งมีความน่าสนใจ เพราะตอนนั้นยังนึกไม่ออกว่า ฟิสิกส์กับการเมืองจะเข้ามาเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร ท่านอาจารย์ชัยอนันต์อธิบายว่า จักรวาลนี้มีแรงยึดเหนี่ยวกันอยู่ ตัวอย่างที่ใกล้ตัวที่สุดคือระบบสุริยจักรวาล ซึ่งโลกของเราก็อยู่ในระบบนี้ แรงที่ยึดเหนี่ยวระบบสุริยะจักรวาลนี้เอาไว้ด้วยกันก็คือ “แรงโน้มถ่วง” โดยมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และมีดาวเคราะห์รายรอบอยู่อีก 9 ดวง แรงโน้มถ่วงนี้ก่อให้เกิดทั้ง “แรงสู่ศูนย์กลาง” (Centripetal Force) และ “แรงหนีศูนย์กลาง” (Centrifugal Force)อันเป็นปฏิกิริยาทางด้านพลังงานที่มีอยู่ในธรรมชาติโดยทั่วไป นั่นคือพลังต่าง ๆ จะมีการกระทำระหว่างกันในสองลักษณะนั้นเสมอ นักรัฐศาสตร์ที่สนใจในเรื่องของฟิสิกส์จึงนำเรื่องแรงทั้งสองมาใช้ศึกษาการเมือง แล้วสรุปเป็นข้อสันนิษฐาน (Assumption) เพื่อประกอบเป็นทฤษฎีทางรัฐศาสตร์ต่อไปว่า พลังทางการเมืองก็เช่นเดียวกันกับพลังที่มีอยู่ในระบบจักรวาล คือมีทั้งแรงสู่ศูนย์กลางและแรงหนีศูนย์กลาง ที่ทำให้ระบบการเมืองนั้นเกิดความสมดุล จึงทำให้ระบบการเมืองนั้นคงอยู่ได้ ที่เรียกว่า “เสถียรภาพ” (Stability) แต่เมื่อใดก็ตามที่พลังทั้งสองนั้นเกิดเสียสมดุล ระบบนั้นก็จะ “พังทลาย” (Collapse) ตอนนั้นประเทศไทยอยู่ในยุคการปกครองของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน อันเป็นระบอบเผด็จการที่ไม่เคยหมดไปจากเมืองไทย ท่านอาจารย์ชัยอนันต์บรรยายด้วยความเร่าร้อนว่า ระบบนี้แหละที่จะทำให้ประเทศไทยพลังทลาย เพราะทหารได้ดูดซับเอาพลังต่าง ๆ ในทางการเมืองไว้แต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ทหารโง่ ๆ พวกนี้ที่คงไม่ได้ศึกษาวิชารัฐศาสตร์และฟิสิกส์สักเท่าไหร่ ก็พยายามรักษาสมดุลทางอำนาจ โดยการโอนถ่ายพลังไปยังกลุ่มการเมืองอื่น ๆ บ้าง เช่น ให้มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อระดมคนจากภาคส่วนต่าง ๆ มาสนับสนุนและออกกฎหมายให้รัฐบาล(ความจริงคือตามที่ผู้มีอำนาจสั่ง) และในขณะเดียวกันก็กำลังให้มีการเขียนรัฐธรรมนูญที่คณะทหารคิดว่าน่าจะสร้างสมดุลทางการเมืองในระยะยาวได้ต่อไป นั่นก็คือรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2521 ที่วางบทบาทให้พลังของระบบราชการกับพลังของนักการเมืองมีความสมดุลกัน โดยให้วุฒิสภาเป็นสภาของข้าราชการ และสภาผู้แทนราษฎรเป็นสภาของนักการเมือง (อันเป็นที่มาของชื่อรัฐธรรมนูญฉบับนั้นว่า “ประชาธิปไตยครึ่งใบ”) แต่ท่านอาจารย์ชัยอนันต์พยากรณ์ว่า ระบบนี้จะไม่ยั่งยืน เพราะถ้าจะเป็นประชาธิปไตยแล้ว ประชาชนต้องเป็นศูนย์กลางของพลังอำนาจทั้งปวง ไม่ใช่ทหาร ทหารนี้เป็นได้แค่ “ดวงอาทิตย์เทียม” ไม่ได้มีพลังอำนาจอันเป็นแก่นสารที่แท้จริงของระบอบประชาธิปไตย เมื่อผู้เขียนดูสารคดีเรื่อง The Planets 1 ของช่อง BBC Earth จบก็ทำให้นึกถึงการบรรยายเรื่องฟิสิกส์การเมืองในครั้งนั้นของท่านอาจารย์ชัยอนันต์ขึ้นมาดังกล่าว และยังเชื่อว่าคำพยากรณ์ของท่านอาจารย์ชัยอนันต์ยังคงเป็นความจริง จึงเกิดความหวังว่าระบอบเผด็จการที่ครอบงำการเมืองไทยในขณะนี้น่าจะคงอยู่ไปได้อีกไม่นาน แต่ก็คงจะเป็นเหมือน “วงจรอุบาทว์” อันเดิม (อ้อ ท่านอาจารย์ชัยอนันต์นี่แหละที่เป็นผู้สถาปนาคำว่า “วงจรอุบาทว์” ไว้ในวิชาการเมืองไทย ด้วยท่านได้เห็นสัจธรรมของการเมืองไทยที่ว่า จะเป็นวงจรที่สลับกันไปของเผด็จการกับประชาธิปไตย โดยที่ทหารนั่นเองจะนำมาสู่วงจรในชื่อดังกล่าวนั้น) ที่ประชาธิปไตยที่เคยเกิดขึ้นมาในหลาย ๆ ครั้งนั้น ไม่สามารถรักษาสมดุลทางอำนาจไว้ได้ เช่นเดียวกันกับในยุคที่ทหารครองเมือง ก็พยายามสืบทอดอำนาจและครอบครองอำนาจไว้แต่เพียงผู้เดียว เปรียบได้ว่าประเทศไทยนี้ไม่เคยมี “ดวงอาทิตย์ที่แท้จริง” ยังคงเต็มไปด้วยดวงดาวปลอมๆ และพลังที่ไม่แน่นอนมั่นคง ระบบสุริยจักรวาลของการเมืองไทย ซึ่งก็คือระบอบประชาธิปไตยนั้น จึงมีวงจรเพียงสั้น ๆ ตลอดมาในระบบการเมืองไทย อย่างไรก็ตามระบบสุริยจักรวาลก็ไม่ได้ยั่งยืนเช่นกัน นักวิทยาศาสตร์ทำนายว่าน่าจะเหลืออายุขัยอีกราว 5,000 ล้านปี เพราะดวงอาทิตย์นั้นก็จะยุบตัว ค่อย ๆ หมดแรงโน้มถ่วง เกิดแรงระเบิดฉีกสุริยจักรวาลนี้อออกจากกัน ถึงวันนั้นเราก็ไม่เหลืออะไรเลย ฟังดูอาจจะวังเวง แต่เมื่อรู้อนาคตแล้ว ก็คงจะพอทำใจได้นะครับพี่น้อง !