ทวี สุรฤทธิกุล “คนไทยลืมง่าย คนไทยเจ็บแล้วไม่จำ” คือสิ่งที่อธิบายว่าทำไมคนไทยจึงทนรัฐประหารได้ คนไทยมักจะเบื่อคนที่อยู่ในอำนาจนาน ๆ เรื่อยมา ตั้งแต่ครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 คนไทยก็เป็นโรค “เบื่อเจ้า” อยู่บ้างแล้ว ดังจะเห็นได้จากการกระทำและแถลงการณ์ของคณะราษฎรนั่นเอง แต่พอจอมพลผิน ชุณหะวัณ ทำรัฐประหารคณะราษฎรออกไปได้ใน พ.ศ. 2490 คนก็เฮโลมาชื่นชมทหาร จากคำบอกเล่าของนักการเมืองที่เติบโตมาในยุคนั้นบอกว่า “นึกว่าทหารจะอยู่ไม่นาน ตอนแรก ๆ ที่ดีใจ ก็ด้วยหวังว่าทหารจะมาล้มระบอบเผด็จการทางรัฐสภาของคณะราษฎรนั้นเสีย ทั้งยังเห็นมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างแข็งขัน แต่ก็เนิ่นนานมาเกือบสิบปี มันก็ตงิด ๆ ตอนที่จะมีการเลือกตั้งในปี 2500 ที่เห็นพรรคทหารมาลงแข่งขันด้วย พอเลือกตั้งจริง ๆ ก็สกปรกที่สุดอย่างว่า” แต่คนไทยเจ็บแล้วก็ไม่จำ พอจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำรัฐประหารใน พ.ศ. 2500 ก็มีคนชื่นชมมากเช่นกัน และด้วยความเด็ดขาดเข้มแข็งของจอมพลผ้าขาวม้าแดงคนนี้ ทำให้คนไทยยอมสยบให้ทหารอยู่ระยะหนึ่ง กระทั่งเมื่อท่านจอมพลได้ถึงอสัญกรรมไปแล้ว โดยได้มีนายทหารอย่างจอมพลถนอม กิตติขจร ได้สืบทอดอำนาจต่อมา คนไทยก็เริ่มหงุดหงิดและกำเริบความเบื่อทหารขึ้นมาอย่างรุนแรง แม้ทหารจะให้มีการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2512 ก็แค่การบรรเทาอาการ แล้วทหารก็ทำรัฐประหารตนเองใน พ.ศ. 2514 อารมณ์ของผู้คนในสังคมจึงระเบิดออกมา ร่วมกันกับการรณรงค์ต่อต้านระบอบทรราชย์ “ถนอม - ประภาส” และเรียกร้องรัฐธรรมนูญของปัญญาชนนิสิตนักศึกษา จนกระทั่งนำมาซึ่งความรุนแรงในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ที่ทหารต้องถูกบีบให้ออกจากอำนาจไป แต่ก็ไปได้ไม่นาน ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ทหารก็กลับมา ด้วยการใช้ความรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ถึงขั้นที่มีการจับฆ่าจับเผาผู้ชุมนุมประท้วงที่สนามหลวง กระนั้นคนไทยก็ไม่ค่อยจดจำอะไรนัก เพราะพอทหารเขียนรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2521 เสร็จ นักการเมืองก็ร่วมยินดีและลงเลือกตั้งอย่างเอิกเกริก บางทีคนไทยอาจจะเป็นคนมองโลกในแง่ดี อย่างที่เรียกว่า “โลกสวย” นั้นเป็นจำนวนมาก เพราะภายใต้ระบอบ “เปรมาธิปไตย” ทุกคนก็เคลิบเคลิ้มด้วยความฝันว่า ทหารคงจะอยากให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยจริง ๆ แต่พอเห็นว่าแม้จะมี “นายทหารดี ๆ” แบบพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มาเป็นผู้นำ แต่ท่านกลับปล่อยให้การพัฒนาระบอบประชาธิปไตยเป็นไปตามยถากรรม กระทั่งผู้คนเริ่มเบื่อเมื่อท่านได้อยู่ในอำนาจมากว่าแปดปี ถึงขั้นมีการยื่นฎีกาจากกลุ่มนักวิชาการจำนวน 99 คน ให้ทรงมีพระราชวินิจฉัยเพื่อเป็นแรงบีบไปยังพลเอกเปรม ที่สุดหลังเลือกตั้งใน พ.ศ. 2531 พลเอกเปรมก็บอก “ป๋าพอแล้ว” ไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ทหารบางกลุ่มกลับไม่คิดอย่างนั้น ได้รอคอยจังหวะที่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งโกยกินอย่างมูมมาม โดย “บุฟเฟต์คาบิเนต” ของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ แล้วเข้ายึดอำนาจในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 ซึ่งในภาพที่ออกมาจากสื่อมวลชนในวันรุ่งขึ้นก็เห็นมีผู้คนจำนวนหนึ่งเอาดอกไม้ไปแสดงความชื่นชมกับคณะ รสช.นั้นด้วย แต่พอทหารเผยธาตุแท้ออกมาด้วยการวางแผนกับสมุนนักการเมืองที่จะสืบทอดอำนาจ ภายใต้การโอบอุ้มของพรรคสามัคคีธรรม ผู้คนก็ออกมาประท้วงขับไล่ ซึ่งคราวนี้นำโดยทหารด้วยกันแต่เป็นคนละรุ่น กระทั่งนำไปสู่ความรุนแรงในเดือนพฤษภาคม 2535 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ต้องออกมาสงบศึก กระนั้นคนไทยก็ยังไม่เข็ดหลาบจดจำ ภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ พ.ศ. 2540 ได้สถาปนาระบอบใหม่โดยการนำของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่ได้ไปกระทบกระทั่งทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์และสถาบันทหาร จึงมีอันต้องหนีหัวซุกหัวซุน ด้วยการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แต่ทหารยุคนี้ก็ทำงานแบบ “กล้า ๆ กลัว ๆ” จนทำอะไรไม่สำเร็จ ในที่สุดก็ต้องปล่อยมือ ให้มีเลือกตั้ง และเข้าสู่ยุคความวุ่นวายทางการเมือง ท้ายที่สุดก็มาถึงยุคของ คสช. ที่เข้ายึดอำนาจในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 คนไทยก็ลืมความหลังไปหมดสิ้น ซึ่งทหารได้ใช้ความขี้ลืมของคนไทยนี้ปกครองประเทศไทยมาจนถึงปัจจุบัน กระทั่งกำลังเกิดอารมณ์ “เบื่อทหาร” ขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ไม่ใช่แค่ทหารอยู่นาน แต่ยังผสมเข้าด้วยกับภาวะหงุดหงิดและตื่นตระหนกกับโรคโควิด ร่วมกับการลุกขึ้นมาต่อต้านของกลุ่มการเมืองทั้งในและนอกสภา ซึ่งอาจจะมองไปได้ว่า นี่คงจะใกล้ถึง “จุดจบ” ของรัฐบาลทหารคณะนี้เสียแล้ว อย่างไรก็ตามลำพังเพียงแค่อารมณ์เบื่อคงไม่สามารถเอาลุงตู่ออกจากตำแหน่งไปได้ แต่ยังมีอีก ๆ หลาย ๆ ปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณาด้วย ปัจจัยเหล่านั้นก็คือ ความอดทนของตัวลุงตู่เอง ประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งก็คือ แรงเกาะจากหลาย ๆ ภาคส่วนที่ยึดเกาะลุงตู่ไว้ และประการสุดท้ายก็คือ สถานการณ์ “พิเศษ” ว่าสุกงอมพอที่จะปลดลุงตู่ลงมานั้นได้หรือไม่ รวมถึงปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ที่ไม่อาจจะคาดเดาได้ เช่น ลุงตู่อาจจะไม่เป็นที่ประสงค์ของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า และปัจจัยทางธรรมชาติที่ควบคุมไม่ได้นั้นด้วย เป็นต้น คนที่ชอบละครน้ำเน่าอาจจะเคยได้ยินพระเอกพูดกับนางเอกว่า “เราจะไม่มีวันพรากจากกัน เว้นแต่ความตายเท่านั้น” และนี่อาจจะเป็นคำพูดของลุงตู่ที่กำลังพูดกับราษฎรคนไทยอยู่ขณะนี้