ศ.ดร.ไชยา ยิ้มวิไล หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปแล้วกับ “พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9” พร้อม “พระราชพิธีอัญเชิญพระบรมอัฐิและบรรจุทั้งบรมอัฐิและพระราชสรีรางคาร” เป็นที่เรียบร้อยตลอด 5 วันที่ผ่านมา (25-29 ตุลาคม 2560) แต่ต้องเรียนตามตรงว่า ถ้าแม้ว่าได้มี “การออกทุกข์” เรียบร้อยแล้ว แต่ทั้งทัวใจคนไทยถ้วนหน้า ตลอดจนการแต่งกายยังคงแต่งกายด้วยสีเทา และบางคนจำนวนมากก็ยังคงแต่งสีดำอยู่เสมือนว่ายังคงไว้อาลัยกับการจากไปของ “พ่อหลวง” ที่ยังคงไม่อยากที่จะละทิ้งความรู้สึกที่มีต่อพระองค์ท่าน ซึ่งอาจจะแสดง “ความจงรักภักดี” ต่ออีกประมาณระยะหนึ่ง ทั้งนี้การแต่งกายน่าจะไม่สมควรใส่สีฉูดฉาด ควรใช้สีฟ้า สีเทา สีนวล สีเหลือง เป็นต้น จนสักระยะหนึ่งค่อยๆ ใส่สีฉูดฉาดได้น่าจะหลังจากปีใหม่ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม การที่พสกนิกรคนไทยได้ร่วมแสดงพลังนับหลายล้านคนทั่วทั้งประเทศ ส่งสัญญาณให้คนไทยและชาวโลกตระหนักอย่างชัดเจนว่า “คนไทยรักพ่อหลวงมาก” ด้วยการเฝ้ารอนับวันและหลายวันกันเลยทีเดียว บางกลุ่มบางคณะเฝ้ารอตามริมฟุตบาท เรียกว่ากินนอนยาวเกือบหนึ่งสัปดาห์กันเลยทีเดียว เท่านั้นยังไม่พอบางกลุ่มเดินทางมาจากต่างจังหวัดทั่วทั้งประเทศนับหมื่นนับแสนคนทีเดียว ถามว่า ความรู้สึกของคนไทยนั้นต้องยอมรับว่า “ฝังลึก!” อยู่ในหัวใจคนไทย ดังคำกล่าวที่ว่า “สถิตอยู่ในใจตราบนิรันดร์” ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง ที่คนไทยยังคงจารึกไว้ในหัวใจคนไทย เพียงแต่ว่า คนไทยได้โปรดอย่าลืม “พระองค์ท่าน” และอย่าลืม “คำสั่งสอนของพ่อหลวง” โปรดนำคำสั่งสอนของพระองค์ท่าน ประกอบกับพระบรมราโชวาท และพระราชดำรัสที่พระองค์ท่านทร มอบให้ไว้นำมาเป็น “ทิศทางในการดำเนินชีวิต” และที่สำคัญเป็น “พลังแห่งชีวิต” และนำมาเป็น “การหล่อหลอม” หัวใจคนไทยให้เป็น “พลังแห่งแผ่นดิน” เพื่อให้ “ชาติไทยเดินหน้า” ต่อไปให้ได้! การที่คนไทยได้รวมพลังเช่นนั้น ขอย้ำว่า “มาด้วยใจบริสุทธิ์” ที่มิได้มีการจัดตั้ง แต่เป็นการรวมตัวกันว่า “พระองค์ท่านเป็นศูนย์รวมใจหนึ่งเดียวของคนไทยทั้งมวล” ที่พระองค์ท่านนั้นทรงครองราชย์อันยาวนาน 70 ปี ที่ทรงมีโครงการนับเกือบ 5,000 โครงการ ที่ช่วยเหลือพสกนิกรของพระองค์ท่าน ไม่ว่าด้านการเกษตร ช่วยเหลือคนยากคนจนทั้วทั้งประเทศ เรียกว่าแทบจะไม่มีวันหยุด แต่ที่สำคัญที่สุดจนประชาชนเรียกขานพระองค์ท่านว่า “พระราชาติดดิน!” จนกลายเป็นที่รักของประชาชนทั่วหล้า ดังนั้นการที่ประชาชนเฝ้ารอรับเสด็จพระบรมศพในพระบรมโกศนั้น ต่างร่ำไห้น้ำตานองหน้า และทุกครั้งที่เราได้เห็นน้ำตาประชาชน เราก็จะร่ำไห้ไปด้วย! ปรากฎการณ์เช่นนี้ เป็นที่เฝ้ารายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศทั่วโลก ที่ต้องบอกว่าทุกชาติต่างต้องใช้คำว่า “ตกตะลึง!” กับ “ความรักของคนไทยที่มีต่อพระมหากษัตริย์” ของตนเองทั่วทั้งแผ่นดิน ที่รอเฝ้ารับเสด็จโดยไม่กังวลว่าฝนจะตกแดดจะออกแต่ประการใด และที่สำคัญมากไปกว่านั้นต่างนั่งรอนอนรอข้างถนนเป็นวันเป็นคืนกันเลยทีเดียว และมาจากทั่วทุกสารทิศ “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9” ที่ทรงครองราชย์อย่างยาวนานที่สุดในโลกถึง 70 ปี ที่ทรงทศพิธราชธรรม ที่ทรงตรวจเยี่ยมอาณาประชาราษฎร์ทุกภูมิภาคทุกท้องถิ่น ไม่ว่าจะทุรกันดารมากน้อยเพียงใด แม้นกระทั่งพระมหากษัตริย์จากต่างแดน หรือตัวแทนกษัตริย์ หรือประธานาธิบดี หรือบุคคลสำคัญระดับรัฐบาลของแต่ละประเทศจำนวน 42 ประเทศได้เข้าร่วมในงานพระราชพิธีฯ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม 2560 ซึ่งนับว่าเป็น “วันประวัติศาสตร์” ที่ต้องถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์โลกกันเลยทีเดียว ที่ทำให้คนไทยต่างภาคภูมิใจในความรักของคนไทยและชาวต่างชาติ ที่มีความรักต่อพระองค์ท่านอย่างหาที่สุดมิได้ ดังคำกล่าวที่ว่า “จะจารึกไว้ตราบในใจชั่วนิรันดร์” พระองค์ท่านเสด็จสู่สวรรคาลัยไปแล้ว แต่คำสั่งสอนของพ่อหลวง พระราชดำรัส พระกระแสรับสั่ง ตลอดจนโครงการต่างๆ ที่พระองค์ท่านได้ทรงดำเนินมาโดยตลอดจะทรงดำเนินต่อไป และจะมิได้หยุดแต่ประการใด ในทางกลับกัน กลับจะ “รวมพลัง” เป็น “พลังแผ่นดิน” ที่ “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ์ บดินทรเทพยวรางกูร” จะทรงดำเนินตามพระราชปณิธานของสมเด็จพ่อรัชกาลที่ 9 ที่ได้ทรงตั้งใจไว้ จึงทำให้ชาติไทยเรานั้นพิสูจน์แล้วว่า “จะเจริญรุดหน้าทั้งปฏิรูปและพัฒนาต่อไปอย่างแน่นอน!” “พลังแห่งแผ่นดิน” จะต้องทำให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปด้วย “ความสมานฉันท์-สามัคคีปรองดอง” กัน ทั้งนี้ “ความแตกแยก” ทางการเมืองนั้น เราคนไทยต้องเรียนรู้จากประวัติศาสตร์เมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ถามว่าถ้าเรายังสามารถจดจำความเสียหายที่คนไทยฆ่ากันตายเสมือนว่า “มิใช่คนไทย” ที่เกิดจากการยั่วยุของบรรดานักการเมืองที่ต้องการสร้างความแตกแยกในหมู่คนไทยกันเอง เท่านั้นยังไม่พอยัง “ทุจริตคดโกง” นับหลายแสนล้านบาท และยังมีชีวิตอิสระทั้งอยู่ในประเทศกับต่างประเทศ แต่ยังมีนักการเมืองที่รับโทษติดคุกติดตะรางแทนกันไปรับเวรกรรม ทั้งนี้ “กฎแห่งกรรม” นั้นมีจริง “ใครโกงก็ต้องรับกรรมกันไปไม่ช้าก็เร็ว!” อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันชาติบ้านเมืองกำลังอยู่ในช่วงของการปฏิรูป พร้อมทั้งการพัฒนาทางด้านการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ และในขณะเดียวกัน การเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์กับต่างประเทศที่โลกยุคใหม่ “ยุคโลภาภิวัฒน์” ที่ “สังคมบริบทยุคใหม่” อาจจะไม่ได้ยึดมั่นกับ “หลักการประชาธิปไตย” เหมือนในสมัยก่อนเมื่อ 20-30 ปีที่ผ่านมา คงไม่ต้องดูอื่นไกลอย่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่เป็นประเทศสังคมนิยม และระบบเศรษฐกิจเป็นทุนนิยม ซึ่งประชาชน 1,360 กว่าล้านคนก็มีความสุขและยอมรับกันได้อย่างดี จนในที่สุดคาดการณ์ได้เลยว่าอีก 3-5 ปีข้างหน้า จีนจะเป็นประเทศ “มหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” ดีไม่ดีอาจล้ำหน้าประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยซ้ำไป! เราคนไทยทั้งปวงต้องคำนึงถึง “อนาคตประเทศชาติ” ด้วยการนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ถอยหลังย้อนไปเมื่อ 20-30 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ว่าบ้านเมืองเราเละเทะขนาดไหน เรียกว่า “ไร้ทิศไร้ทาง!” จนในที่สุดการเสด็จสวรรคของ “พ่อหลวง” จนทำให้คนไทย “รวมพลัง” จนกลายเป็น “พลังแผ่นดิน” ที่ผนึกกำลัง “ร่วมสำนึก” ว่าถ้าเรามัวแต่ทะเลาะกันจนกลายเป็น “รัฐล้มเหลว” แล้วเราจะมีแผ่นดินอยู่หรือ ดังนั้น เราจงมั่นใจว่ารัชกาลที่ 10 นั้น ที่ทรงดำเนินพระราชปณิธานอันแน่วแน่ตามที่มีพระกระแสรับสั่งไว้เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2559 ว่าจะดำเนินตามพระราชปณิธานตามเสด็จพ่อรัชกาลที่ 9