ศ.ดร.ไชยา ยิ้มวิไล ประเทศไทยได้ผ่านการวางแผนและการปฏิรูปมาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 2 ปีกว่าๆ แต่อาจจะยังดูเสมือนว่าไม่ค่อยมีอะไรคืบหน้าซักเท่าไหร่ เนื่องด้วยต้องมีการเตรียมการ “พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9” ที่เสร็จพระราชพิธีครบถ้วนกระบวนความไปเรียบร้อยแล้ว ประกอบกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม 17-23 จังหวัดตั้งแต่ภาคเหนือ ภาคอีสาน ลามจนถึงภาคกลาง ที่น้ำยังคงท่วมขังอยู่ แต่ก็ค่อยๆ ดีขึ้น แต่ภาคใต้นั้นเจอทั้งพายุดีเปสชั่นและประสบปัญหาน้ำท่วมอยู่ ก็เป็นปกติธรรมดาที่ฤดูหนาวทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ตอนบน แต่ภาคใต้นั้นเป็นฤดูฝนตามธรรมชาติ ทั้งนี้ ถึงเวลาพอดีที่ต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรีพอดิบพอดีที่มีการลาออกของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งขอแนะนำว่า “สมควรต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและตรึกตรองให้ดี เนื่องด้วยเป็นโค้งสุดท้ายของรัฐบาลคสช.” เพราะรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำงานมาประมาณ 3 ปีกว่าเกือบ 4 ปีแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่า อาจมีผลงานมากบ้างน้อยบ้าง แต่ก็มีรัฐมนตรีหลายคนจำนวนไม่น้อยเลยนับแล้วไม่ต่ำกว่า 7-9 คนที่ “โลกลืม!” เวลาเดินในกลุ่มฝูงคนผู้คนจำไม่ได้เลยว่า “นี่เหรือรัฐมนตรี?!?” จะมีคนจำได้ไม่กี่คนเท่านั้นที่คนจำได้ ซึ่งก็ต้องยกย่อง แต่ไม่ได้เยินยอคือ “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่ทุกสำนักสำรวจคะแนนมาแล้วคะแนนนำโด่งตลอด เหตุผลสำคัญเกิดจาก “บุคลิก” และ “ความเป็นผู้นำที่เด็ดเดี่ยวกล้าตัดสินใจ” จริงๆ แล้วก็ต้องตอบว่า “อะไรอะไรก็ลุงตู่ทุกเรื่องที่ต้องตอบทุกเรื่อง” และอีกหนึ่งท่านคือ “รองนายกฯ วิษณุ เครืองาม” ที่ถูกถามทุกเรื่องเช่นเดียวกัน ที่ตอบเช่นนี้มิได้ “เชลียร์” ใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่ว่ามีเพียง 2 ท่านนี้เท่านั้นที่สื่อนำเสนอตลอด อีกหนึ่งท่านที่สื่อนำเสนอ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์คือ รองนายกฯ และรัฐมนตรีฯ กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นอกนั้นแทบไม่มีการให้สัมภาษณ์แต่ประการใด อาจมีพล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ที่มีแต่ภาพในการนำเสนอในการท่องเที่ยว นอกนั้นขอย้ำได้เลยว่า “รัฐมนตรีโลกลืม!” คนไทยต้องยอมรับว่า “เบื่อง่าย!” ถ้าใครไม่มีผลงานหรือไม่ค่อยชอบแสดงผลงาน ยิ่งเกิดอาการเบื่อง่าย โดยเฉพาะในทาง “การเมือง” นั้น นักการเมืองนั้นจึงถนัดมากกับการสร้างผลงาน ถามว่า “ดีหรือไม่กับการสร้างผลงาน” ต้องตอบว่า “ดีแน่!” แต่ต้องเป็น “ผลงานจริง-สัมผัสได้” แต่ต้อง “เกิดประโยชน์แก่ประชาชน” แต่มิใช่ “วัดครึ่งกรรมการครึ่ง” หรือ “เกิดการทุจริตคดโกงกับโครงการต่างๆ” ที่คนไทยเกิดความเอื่อมระอากับบรรดานักการเมืองเช่นนั้น! นักการเมืองที่ดีก็มีไม่ใช่ไม่มี แต่นักการเมืองขี้โกงก็มีมากเช่นเดียวกัน เหตุผลเพราะว่า เกิดจาก “ธุรกิจการเมือง” ซึ่งเป็น “รากฐานปัญหาสำคัญ” ของ “ปัญหาการเมืองไทย” ตลอดระยะเวลา 20-30 ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิด “การยึดอำนาจ-รัฐประหาร” ตลอดมา อย่างไรก็ตาม “การปฏิรูปประเทศ” นั้น เราจำเป็นต้อง “ปฏิรูปคน” กันเสียก่อน ที่ต้องยอมรับว่า “การปฏิรูปคน” นั้นนับว่า “ยากมาก” ยิ่งสังคมบริบทโลกยุคใหม่นั้นผันผวนอย่างรวดเร็วมาก พร้อมทั้งคนไม่ค่อยบริโภคข้อมูลข่าวสาร และ/หรือ อาจไม่ค่อยได้อ่านหนังสือหรือไม่อ่านหนังสือเลย ยิ่งถ้าลูกคนยากคนจนยิ่งเลยเถิดไปกันใหญ่กับการเสพยาเสพติด ซึ่งต้องยอมรับว่ามีเป็นจำนวนมากกับคนระดับรากหญ้า ที่ไม่รู้จัก “คุณธรรม-ศีลธรรม-จริยธรรม” ใดๆ เลย มัวเอาแต่ “สนุก” และเลวร้ายกับ “การทำชั่ว-คิดชั่ว” เข้าไปอีก! “การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์” หรือ “การปฏิรูปการศึกษา” ของประเทศไทยเรานั้น ต้องยอมรับว่าพยายามกันมาหลายสิบปี แต่แทบจะขยับเขยื้อนน้อยมาก เนื่องด้วยฝ่ายตำรวจหรือกระทรวงศึกษาธิการอาจไม่กล้าเอาจริงเอาจังกับการดูแลชุมชนต่างๆ ที่จะเข้าไปจัดการกับการเฝ้าระวังกับการเข้าเรียนจริงกับครอบครัวชุมชนต่างๆ ที่มีปัญหาด้านครอบครัว โดยเฉพาะด้านการเงินและการให้ความอบอุ่น ที่เด็กและเยาวชนยุคใหม่ขาดความอบอุ่นอย่างมากจากพ่อแม่และผู้ปกครอง เหตุผลเพราะว่า “ต่างฝ่ายต่างทำมาหากิน และต่างฝ่ายต่างปากกัดตีนถีบ!” “การมั่วสุม” จึงเกิดขึ้นในกลุ่มชุมชนต่างๆ เนื่องด้วยเป็นกรณีธรรมดาที่เด็กและเยาวชนย่อมต้องมีเพื่อน ในเมื่อหาความอบอุ่นจากพ่อแม่ผู้ปกครองในบ้านไม่ได้ ก็ต้องเข้าหาเพื่อน ถ้าได้เพื่อนดีก็ดีไป แต่ถ้าเพื่อนที่เกเรมั่วสุมสุรายาเสพติดยิ่งเลอะเทอะไปกันใหญ่จนเสียผู้เสียคน “ทำลายอนาคตตนเอง” ไปเรียบร้อย จนอาจเลยเถิดไปจนถึงเป็นขโมยโจรผู้ร้ายติดคุกติดตะรางไปในที่สุด และกลายเป็น “ขยะสังคม” ตลอดชีวิต ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามีจำนวนมากในสังคม ซึ่งมิใช่มีในประเทศไทย แม้กระทั่งประเทศที่เจริญแล้ว อาทิ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี บราซิล อาร์เจนตินา หรือแม้กระทั่งญี่ปุ่น ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นต้น หรือแม้กระทั่ง “คนมั่งคนมีคนร่ำรวย” ที่มั่วสุมเสพยาเสพติดก็มีเช่นเดียวกัน ที่เกิดจากการถูกตามใจจนเคยตัวไม่เรียนหนังสือ ใช้ของแบรนด์เนมไม่รู้คุณค่าของเงินและคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ที่มีจำนวนไม่น้อยจนเสียผู้เสียคน แต่สามารถใช้เงินทองเอาตัวรอดไปได้ กลุ่มบุคคลเหล่านี้สามารถถูกจัดอันดับว่าเป็น “ขยะสังคม” เช่นเดียวกัน แต่อาจหนีเอาตัวรอดใช้เงินหนีเอาตัวรอดไปได้ ถามว่า “การอบรมสั่งสอน” จะเริ่มจากที่ไหน ก็คงต้องเริ่มต้นจากครอบครัวก่อนด้วยการอบรมพ่อแม่และชุมชนไปพร้อมๆ กันถึง “ความสำคัญของโครงสร้างสังคม” ที่ต้องเริ่มต้นจากสถาบันครอบครัว แต่ถามว่า “การสร้างความร่วมมือ” และ “การสร้างจิตสำนึก” นั้น “ยากมาก” ที่ต้องสร้างความตระหนักว่า “ถ้าสังคมขั้นพื้นฐานมีพื้นฐานไม่ดี ก็ไม่สามารถสร้างสังคมต่อยอดสู่สังคมที่ดีไม่ได้” ความสำคัญของประโยคนี้ต้องทำให้สังคมตระหนักให้ได้ โดยต้องใช้เวลาสร้างจิตสำนึกให้ได้ “การสร้างคน” ต้องบอกว่า “ต้องให้เวลาสนทนาพูดคุยแบบเพื่อนพี่และสอนแบบพ่อ อาจถกเถียงถึงขั้นทะเลาะกันบ้างแต่ต้องมีเหตุผลและให้เกียรติกัน!”