ชัยวัฒน์ สุรวิชัย - ขอขอบคุณ เพื่อนมิตรชายหญิง ทั้งรุ่นอาวุโส วันกลางคน และคนหนุ่มสาว ที่ตอบรับให้ความสนใจ ต่อข้อเขียนเชิงประสบการณ์ของปู่จิ๊บ ที่เขียนจากความเป็นจริงของชีวิตที่ยาวนานร่วม 70 ปี หลายคน ได้บอกมาว่า “โดยทั่วไป คิดถึงและมีชายหญิง ผู้นำหน้า ที่เป็นโมเดลและเป็นแบบอย่าง ซึ่งก็ได้เลียนแบบและประยุกต์นำมาใช้กับชีวิตประจำวัน ได้ผลอย่างดี และประสบความสำเร็จได้” แต่พอมาอ่านข้อเขียน ของปู่จิ๊บ ที่นำเสนอ ชายถึง 3 คน 3 แบบคือ ผู้นำหน้า เคียงข้างและตามหลัง จึงขอให้ปู่จิ๊บอธิบายให้เข้าใจอย่างละเอียดด้วย ว่า “ทำไม ต้องมีชายถึง 3 คน” - ความจริงของชีวิตนั้น คนเรามิใช่มีแต่เพียง “คนนำหน้าที่เป็นแบบอย่าง ให้เราเดินตาม” เพราะ ถึงแม้จะเก่งจะดีมีความสามารถและประสบการณ์แค่ไหน แต่ก็ยังไม่พอที่จะทำให้เราสำเร็จได้หมด อาจจะเป็นเพราะ “ มีแต่คนนำหน้า” ซึ่งเป็นเพียงนำทิศทางให้เรา เดินตาม และในการเดินทางไกลของชีวิต จะต้องมีคนเคียงข้าง อาจจะเป็นเพื่อนผู้ร่วมงานหรือเพื่อนตายที่หายาก เพราะ เขาและเรา จะได้ช่วยกันประคับประคอง ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เติมเต็มในส่วนที่ขาดให้กันและกัน พอพูดมาเช่นนี้ ก็คงพอจะทำให้เราเห็นภาพในชีวิตจริงบ้างแล้วใช่ไหม ? - คนเดินเคียงข้าง เป็นคนที่มีความสำคัญและจำเป็นไม่น้อย ในการเดินทางไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จ ในเส้นทางหนึ่งๆ คนเคียงข้าง อาจจะไม่ใช่คนเดิม อาจจะมีคนอื่นที่มีความสันทัด และมายืนอยู่ในจังหวะนั้น ในบ้างครั้ง เขาช่วยเรา หรือบางครั้ง เราก็ช่วยเขา การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นการให้และรับต่อกัน ซึ่งการให้ ก็มีประโยชน์ ทำให้ใจเราใหญ่และสูงขึ้น การรับทำให้เรารู้จักกับคำว่า “เล็กเป็น” การใหญ่เป็น และเล็กเป็น เป็นสิ่งที่คู่กัน และเป็นความเป็นจริงในชีวิต เพราะไม่มีใครให้หรือรับตลอด และเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและความหมายของตัวเอง แต่ต้องทำด้วยใจรักและปรารถนาดีต่อกัน มิใช่เอาเปรียบกัน แต่สิ่งที่มีความเป็นอย่างยิ่งในชีวิต คือ “การมีเพื่อนแท้” ซึ่งในสมัยก่อน มีกันมาก เพราะมีคุณค่ายิ่งในชีวิต แต่ปัจจุบัน การมีเพื่อนแท้ มีน้อยลง อาจจะเพราะ เป็นยุคที่มีวัตถุ จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี่สูง ที่จะสามารถสนองในส่วนที่แต่ละคนขาด ให้เติมเต็มได้ เพราะ คนเรามีความสามารถหรือเก่งมากขึ้น มีอะไรครบเครื่องในชีวิต คนเราดูเหมือนจะเป็นอิสระ ทำอะไรคนเดียวได้ และประสบความสำเร็จได้คนเดียว - แต่ชีวิตที่เป็นจริง ที่ต้องเดินทางไกลนั้น จะมีบางช่วงบางตอนของชีวิตที่เราขาดบางสิ่ง ซึ่งเราหาไม่ได้ เช่น ความรัก กำลังใจ คนที่รู้ใจมาปลอบ ในยามที่เราเศร้า ผิดหวัง ตกอยู่ในห้วงทุกข์ที่ไม่คาดว่าจะมาถึง อีกประการหนึ่ง ความรู้ การเป็นคนเก่ง เงินทอง หรือตำแหน่งหน้าที่การงาน ยศถาบรรดาศักดิ์ ….. ซึ่งเป็นความใฝ่ฝัน และความปรารถนาของคนหนุ่มคนสาวในยุคนี้ ที่ถือว่า “เป็นเครื่องหมายของความสำเร็จ” แต่บางครั้งบางกรณี สิ่งเหล่านี้ ก็อาจจะมาแทนที่สิ่งที่เราขาด เราต้องการ ในช่วงหนึ่งของชีวิต การมีเพื่อนแท้เพื่อนที่รู้ใจ เป็นคนอยู่และเดินเคียงข้างเรา จะมีความหมายทั้งในยามสุขและยามทุกข์ ยามสุขยามประสบความสำเร็จ ก็จะมีคนห้อมล้อม มากล่าวยกย่องสรรเสริญ อะไรๆ ก็ดีวิเศษไปหมด แต่คนเคียงข้างที่ดี จะต้องทำหน้าที่ “เตือน” ซึ่งมิใช่เรื่องง่ายๆเลย เพราะ “คนสำเร็จยิ่งสูงเท่าไหรยิ่งอีโก้สูง” ก็จะยิ่งไม่พอใจกับการเตือน ในยามที่เราบินสูง ล่องลอยอยู่ในเมฆบนฟ้าแห่งความสำเร็จยกยอจากคนรอบข้าง ในทางตรงกันข้าม เมื่อ เพื่อนล้มเหลว พวกที่ยกยอปอปั้น ก็จะหายหัวไปหมด นี่คือ ความจริงของชีวิต “ผู้ใหญ่ และประสบการของชีวิตบอกความลับที่ยิ่งใหญ่ให้กับเรา” หากเราต้องการความสำเร็จที่แท้จริง เราจะต้องลงทุนแสวงหา “เพื่อนแท้ให้ได้สักคนหนึ่งในชีวิต” ซึ่งต้องไปคิดดูว่า “จะหาเพื่อนแท้ได้อย่างไร” - ชายสองคน คนหนึ่งนำหน้านำทาง อีกคนหนึ่งเดินเคียงข้าง “ทั้งสองคน เป็นตัวแทนของ อดีตและปัจจุบัน” ซึ่ง เพื่อนมิตรคงจะรู้ว่า “มันยังไม่ครบนิ มันยังไม่สมบูรณ์น่ะ” เพราะมันขาดอนาคต “อดีต ปัจจุบัน อนาคต” ความจริงเป็นเรื่องเดียวกัน เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน “วันนี้” เป็น ปัจจุบัน และเมื่อเวลาผ่านไป ก็กลายเป็น “เมื่อวาน” คือเป็นอดีตไปแล้ว “พรุ่งนี้” เป็นอนาคต และเมื่อเวลาผ่านไป ก็กลายเป็น “วันนี้” คือ เป็นปัจจุบัน “เมื่อวานนี้” ก็ดูเป็นอดีต จะมาเปลี่ยนเป็น “วันนี้” คือ ปัจจุบัน และเป็น “วันพรุ่งนี้” คือ อนาคตได้อย่างไร เราคงคิดได้ยาก และดูเหมือน มันไม่น่าเป็นไปได้ แต่ เราคงจะนึกได้ หากปู่จิ๊บ ยกเอาประโยคยอดฮิต มากล่าว “ประวัติศาสตร์ ย่อม ซ้ำรอยเดิม” หรือ “History repeats itself” เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น ในอดีต ก็อาจจะมาเกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือเกิดขึ้นในอนาคต หากมีเงื่อนไขที่เหมาะสม - ฉะนั้น “ชายที่เดินตามหลัง” ก็คือ “ตัวแทนแห่งอนาคต” ที่จะมาแทนที่ปัจจุบัน มารับบุญกรรมที่รุ่นพ่อสร้างไว้ หรือ จะมาแก้วิกฤตที่คนรุ่นก่อนทำไม่ดีไว้ หากเป็นเรื่องที่ไม่ดี แต่หาก คนรุ่นเรา สามารถร่วมพลังแก้วิกฤตที่เกิดขึ้นได้ และพัฒนากลายเป็นสวรรค์ เป็นสิ่งที่ดีได้ หรือพุดให้ตรงกับความเป็นจริง คือ “ทำลายระบบการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรมหรือระบบทุนสามานย์ได้” เราคนไทยในยุคนี้ ก็จะสามารถปฏิรูปสังคมและระบบโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม ทั้งการเมืองเศรษฐกิจสังคมวัฒนธรรม และกระบวนการยุติธรรมได้ คือ จะเป็นการสร้างและพัฒนา ไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่ประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของ และเป็นผู้ได้รับผลโยชน์ที่แท้จริง มิใช่ข้าราชการ นักการเมือง กลุ่มทุนต่างๆฯลฯ สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนี้ คือ สิ่งที่เราคนไทยทุกคนปรารถนามิใช่หรือ เราทุกคน จะต้องร่วมมือลงแรงลงคิด ด้วยความรู้ สติปัญญาความจริง จึงจะมีพลังมากพอที่จะแก้วิกฤตใหญ่ได้ นั้นคือ เราต้อง อาศัย ชายทั้งสาม “ เดินนำหน้า เดินคียงข้าง และเดินตามหลัง โดยแต่ละคน แต่ละช่วงเวลา จะต้องมีบทบาทที่เป็นจริงถูกต้อง สอดคล้องกับสภาพและสถานการณ์ในขณะนั้น - เห็นไหมครับ หัวข้อ ที่ปู่จิ๊บ ตั้งขึ้น เป็นปุฉา ให้เราวิสัจนากัน มีความหมายกว้างยาวและลึก จริงน่ะ วิธีที่อ่านอย่างได้ผล อ่านแล้วต้องคิด เอามาเปรียบเทียบกับชีวิตตนเอง ว่า “ชีวิตเรา เป็นอย่างไร” ก้าวหน้ามาจนถึงทกวันนี้ เพราะ “เรามีใครนำหน้าเป็นแบบอย่าง และใครเป็นผู้ที่อยู่เคียงข้างเรา และที่สำคัญ คนที่อยู่ตามหลังเรา อาจจะมีทั้งปัจจุบัน ที่คอยประคับประครอง พยุงหนุนเรา มิให้เราล้ม หรือยามพลาดพลั้ง แต่ที่สำคัญ การที่เราจะสร้างประวัติศาสตร์ ส่งไม้ต่อไปยังผู้รับช่วง ไม่ว่าลูกหลาน เยาวชนคนหนุ่มสาว หรือ คนที่ช่วยงานเรามาตลอด แต่อยู่หลังเรา เราจะส่งเสริมพัฒนาเขาให้ก้าวมายืนอยู่แถวหน้าได้อย่างไร ในมุมตรงกันข้าม ใครที่อยู่ข้างเราหรือหลังเรา แต่คอยทิ่มแทงเราอยู่ข้างหลังมาตลอดทุกครั้งในเมื่อมีโอกาส อาจจะเพราะอิจฉาเรา เห็นเราเด่นเราดังกว่า แต่เก็บอารมณ์และความไม่พอใจ ทำให้เราไม่ได้รู้เห็น ฉะนั้น จึงมีความสำคัญในการตรวจสอบและสรุปบทเรียน ถึงคนเหล่านี้ ทั้งนำ เคียงข้างและตามหลังเรา จะทำให้เราได้รับรู้ ปรับปรุงแก้ไขในส่วนตัวเรา และช่วยเหลือแนะนำ ให้คนทั้งสามดีขึ้นพัฒนาขึ้น เพราะ หากการที่เขาดีขึ้นพัฒนามีคุณภาพมากขึ้น ก็จะมีผลสะท้อนกลับมาถึงตัวเราด้วย น่ะครับ - ในตอนท้ายนี้ ปู่จิ๊บ อยากลองให้เพื่อนมิตร พิจารณาเอาชายสามคน มาเปรียบกับสถานการณ์ปัจจุบัน “ชายสามคน ที่ปรากฏกายเคียงกันอยู่ ณ ปัจจุบัน ประยุทธ์ ประวิทย์ อนุพงษ์” เราท่านมองกันอย่างไร อย่าเพียงมองแค่ปัจจุบัน ในยามเป็นรัฐบาลลุงตู่ แต่ต้องมองลึกไปถึง ความสัมพันธ์กันในอดีตอันยาวนาน - ลองดูข่าววิเคราะห์นี้ “ ตัดไม่ตายขายไม่ขาด สำหรับความสัมพันธ์ของ 3 ป.​แห่งบูรพาพยัคฆ์” ไล่มาตั้งแต่ ป.ป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ ป.ป๊อก พล.อ.อนุพงษ์​ เผ่าจินดา พี่รอง และ ป. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์. จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศชัดเจนว่าการปรับ ครม.ประยุทธ์ 5 ทั้งบิ๊กป้อมและบิ๊กป๊อกยังอยู่ในตำแหน่งทั้งคู่ พล.อ.ประวิตร ลั่นกระแสข่าวความขัดแย้งกับนายกรัฐมนตรีไม่เป็นความจริงเพราะอยู่กันมากว่า 40 ปี “เฮ้อ ลือกันไปเรื่อย เลอะเทอะ โดยเฉพาะพวกคอลัมน์นิสต์ข้างในชอบเขียนให้เป็นประเด็นว่า เรามีความขัดแย้งกันระหว่างพี่น้อง ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย ผมกับพล.อ.ประยุทธ์อยู่กันมานาน เขียนแบบนี้คนก็ชอบอ่านล้วนแต่เป็นพวกมโนที่อยู่ข้างใน เขียนให้เราทะเลาะกับนายกฯ เราไม่มีความขัดแย้งระหว่างกันเลย อยู่กับเรามาตั้ง 40 ปี สื่อส่วนใหญ่ก็รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร แล้วก็ลือกันไป มันจะเป็นไปได้อย่างไร" พล.อ.ประวิตร ระบุ - คำถาม ให้ท่านช่วยพิจารณาว่า บทบาทของนายทหารใหญ่ 3 คน นี้ ใครนำหน้า เคียงข้างและตามหลัง หลักการพิจารณา ตัวสำคัญคือ “ปัจจุบัน” แต่เพื่อความเข้าใจ เราจะต้องมองในอดีต และ “อนาคต” ด้วย แน่นอนว่า สภาพปัจจุบัน “คนนำหน้า คือ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. คือ พลเอกประยุทธ์” ส่วนพี่ป้อม พลเอกประวิตร และพี่อนุพงษ์ เป็นผู้อยู่เคียงข้าง ซึ่งพี่ทั้งสอง ล้วนมีบทบาทที่เป็นจริง มาดูตำแหน่งหน้าที่ ตำแหน่งที่สูงที่สุด คือ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.รองลงมา คือ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คือ พี่ป้อมถัดมา คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นกระทรวงที่ใหญ่และมีอำนาจเกี่ยวกับประชาชนมากที่สุด แต่ถ้าไล่จากอดีตมา พลเอกประวิตร หรือ พี่ป้อม เป็นนักเรียนเตรียมหทาร รุ่นที่ 6 อนุพงษ์ 10 ประยุทธ์ 12 พี่ป้อม เป็นทั้งหัวเรือใหญ่ของรุ่น 6 และเป็นนายทหารรุ่นพี่ ที่ใจใหญ่ คุมกำลังทรัพยากร ดูแลน้องๆมาตลอดรวมทั้ง “พี่รองพลเอกอนุพงษ์” และน้องเล็กพลเอกประยุทธ์ ที่เดินตามพี่ป้อม และมีบทบาทของตัวเองด้านความสัมพันธ์ระหว่างกัน แม้พี่ป้อมจะเป็นรุ่นพี่ใหญ่ แต่พี่อนุงพษ์และน้องประยุทธ์จะสนิทสนมกันมากกว่า โดยเฉพาะ ในช่วงปี 2553 ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ผบ.ทบ. คือ พลเอกอนุพงษ์ และรองคือพลเอกประยุทธ์ซึ่งได้ร่วมกันแสดงบทบาทตามหน้าที่ ได้อย่างดีที่สุด ในการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองในช่วงนั้น ความสนิทสนมของทั้งสามทหารเสื้อนี้ ยาวนานและลึกซึ้งกันมาก โดยเฉพาะต่อสถาบันพระมหากษัตริย์กองทัพทั้งสองคือพลเอกอนุพงษ์ และพลเอกประยุทธ์ที่ได้เป็นนายทหารที่ติดตามสมเด็จพระราชินีในรัชกาลที่ 9 - สิ่งสำคัญ ที่ปู่จิ๊บ อยากจะทิ้งไว้ให้เป็นข้อสังเกตว่า “การที่พลเอกประยุทธ์ มีความโดดเด่นมากกว่าพี่ทั้งสองนั้น มาจากลักษณะในการศึกษาเรียนรู้ เอาใจจดจ่อในเรื่องราวที่สำคัญด้วยตนเองมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน มีการพัฒนาปรับปรุงและสรุปบทเรียนในการเสริมข้อดีและแก้ไขข้ออ่อน จนสามารถมีวันนี้ได้ และที่สำคัญคือ “บทบาทการเป็นผู้นำของพลเอกประยุทธ์ จะเหนือกว่า แต่อยากให้ก้าวถึงรัฐบุรุษ น่ะ”