ชัยวัฒน์ สุรวิชัย
เรียนรู้วิศวฯจุฬา จาก “ ประติมากรรมปูนปั้นเล่าเรื่อง 100 ปี วิศวฯ จุฬาฯ” ( 13 มิย. 2556 )
- ตอนแรก ปู่จิ๊บ คิดว่า จะเล่าเรื่องวิศวฯจุฬาฯ ที่สามารถสร้างคนดีคนเก่งให้ประเทสได้มากมาย จะทำอย่างไร
แต่เมื่อได้มาอ่าน เรื่องราวความเป็นวิศวฯจุฬาฯ จาก คำบรรยายภาพปูนปั้น ได้เห็นภาพและความเข้าใจได้ดี
จึงขอนำมาเสนอต่อ เพื่อนมิตรที่รัก ลองอ่านดู ( หากสนใจไปดูได้ที่ ตึก 100 ปี วิศวฯจุฬาฯ )
- คำบรรยายภาพปูนปั้น เรื่องราวความเป็นวิศวฯจุฬาฯ โดย นายพิสุทธิ์ พันธ์เทียน
(ผู้ชนะการประกวดการออกแบบภาพลายเส้นภาพประติมากรรมปูนปั้นนูนสูง-ต่ำ เรื่องราวความเป็นวิศวฯจุฬาฯ)
การจัดวางภาพและเรื่องราวจะยึดถือการเรียงลำดับเหตุการณ์ตามเวลาที่เกิดขึ้นในรอบ 100 ปี
โดยจะแบ่งเรื่องราวออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ
1. ลำดับเหตุการณ์ของสถานที่ที่เกิดเหตุการณ์สำคัญ
2. ลำดับเหตุการณ์ทางด้านกายภาพ เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคล
- พระราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 และ รัชกาลที่ 6
การ จัดวางองค์ประกอบภาพ ประการแรก จะให้ความสำคัญไปที่จุดตรงกลางของภาพ
โดยได้อัญเชิญรูปอนุสาวรีย์ของรัชกาลที่ 5 และ 6 เพราะเป็นสิ่งทีชาวจุฬาฯ ต้องให้ความเคารพบูชา
โดยมีฐานรองรับเป็นรูปแบบที่ อาจารย์ศิลป พีระศรี ออกแบบ
ซึ่งภายในฐานมีสัญลักษณ์เฟือง 21 แฉก และตราสัญลักษณ์ครบรอบ 100 ปี คณะวิศวฯ จุฬาฯ อยู่ภายใน
ส่วนพื้นหลังจะเป็นภาพของหอประชุมจุฬาฯ ซึ่งมีตราพระเกี้ยวอยู่ตรงกลาง และในส่วนประกอบรอบข้าง
บริเวณฐานอนุสาวรีย์ของรัชกาลที่ 5 และ รัชกาลที่ 6 จะเป็นภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ทรงวิทยุ และกำลังทรงประดิษฐ์เรือใบมด โดย มีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงกล้องสำรวจประกอบด้านล่าง ส่วนอีกด้านจะเป็นภาพเหตุการณ์สำคัญของชาววิศวฯ จุฬาฯ
ซึ่งจะเป็นเหตุการณ์ที่นิสิตหมอบกราบขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง ประทับรถยนต์พระที่นั่ง
ซึ่งจะได้กล่าวรายละเอียดต่อไปในการเรียงลำดับเหตุการณ์
- การเรียงลำดับเหตุการณ์เพื่อจะเล่าเหตุการณ์ เรื่องราวจะเรียงลำดับจากซ้ายไปขวาของผู้ดูภาพ ดังนี้
• ปราสาทวินเซอร์ อาคารเรียนหลังแรก
เริ่ม จากซ้าย ภาพด้านบนจะเป็นรูปอาคารซึ่งเรียกว่า หอวัง เป็นตึกแบบปราสาทวินเซอร์
ภายหลังได้ถูกรื้อถอนเพื่อสร้างเป็นสนามกีฬาแห่งชาติ ความสำคัญของอาคารหลังนื้ถือว่าเป็นอาคารเรียนหลังแรกของคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2456
ในขณะนั้นยังไม่ได้เรียกว่าคณะวิศวกรรมศาสตร์ แต่ใช้ชื่อว่า “โรงเรียนยันตรศึกษา” ซึ่งเป็นแผนกหนึ่ง
ในโรงเรียนข้าราชการพลเรือน โดยมีชื่อเต็มว่า
“โรงเรียนยันตรศึกษาแห่งโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุล จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ”
• สามภาควิชาแรกแห่งวิศวฯ จุฬาฯ
จน กระทั่ง พ.ศ.2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 6 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนขึ้นเป็น”จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย “
โรงเรียนยันตรศึกษา จึงเปลี่ยนมาเป็น “คณะวิศวกรรมศาสตร์”ซึ่งได้เปิดการเรียนการสอนเพียง 3 ภาควิชา คือ ภาควิชาวิศวกรรมโยธา ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า และภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล
ดัง นั้น ในด้านซ้ายของภาพด้านล่างจะเป็นเรื่องราวของวิศวกรรมโยธา ซึ่งจะเป็นรูปของการสร้างทางรถไฟ
อันเป็นการแสดงถึงการพัฒนาของประเทศไทยในขณะนั้น จะเห็นเครนและปั้นจั้น ซึ่งจะเป็นเรื่องราวของโยธา ถัดมาจะเป็นรูปของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดใหญ่ เป็นเรื่องราวของวิศวกรรมไฟฟ้า และ
สุดท้ายภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล ซึ่งได้นำเอารูปของนิสิตซึ่งกำลังศึกษาถึงส่วนประกอบจต่าง ๆ
ของเครื่องยนต์ดีเซล โดยในส่วนบนจะเป็นรูปอาคารหลังหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า “ตึกมหาวิทยาลัย”
โดยใช้เป็นอาคารเรียนของคณะวิศวฯ เมื่อ พ.ศ.2466-2475 ปัจจุบันคือ “ตึกเทวาลัย”
• ประเพณีแบกพระเจริญวิศวกรรม ปราสาทแดง
โดย ในช่วงเวลานี้จะมีคณบดีคนสำคัญคนหนึ่งคือ “พระเจริญวิศวกรรม” ซึ่งทำหน้าที่ตั้งแต่ พ.ศ.2472-2504 เป็นที่รักและเคารพของชาววิศวฯ ซึ่งจะมีประเพณีเอาท่านขึ้นขี่คอในวันรับน้องใหม่ ดังภาพที่ได้แสดงถัดมา
ถัด มาด้านบนจะเห็นอาคารอีก 2 หลัง คือ “ตึก 1 หรือ ตึกแดง” ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2478 โดยแรกเริ่มจะมีเพียง 2 ชั้น ดังภาพที่ได้แสดงไว้ ซึ่งในปัจจุบันได้ต่อเติมเป็น 3 ชั้น เป็นรูปแบบเดียวกับตึก 2
ในปัจจุบัน จะเห็น“ตึก 2” ถัดมา ซึ่งได้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2482 ทั้งสองอาคารยังเป็นตึกเรียนในปัจจุบัน
• วิศวกรรมช่างอากาศ วิศวกรรมเหมืองแร่ วิศวกรรมสำรวจ
ส่วน ด้านล่างภาพถัดมาจากรูปแบกคุณพระเจริญ จะเห็นรูปเครื่องบิน ซึ่งคณะวิศวกรรมศาสตร์ เคยก่อตั้งภาควิชาวิศวกรรมช่างอากาศ ขึ้นมาเมื่อ พ.ศ.2476 ส่วนด้านล่างจะเป็นเรื่องราวของภาควิชาวิศวกรรมเหมืองแร่ ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2482 โดยได้แสดงเป็นภาพของคนงานและช่างสำรวจเหมืองแร่กำลังทุบหิน
ถัดมาจะเป็นรูปกลุ่มคนกำลังส่องกล้องสำรวจและจดบันทึก เป็นการแทนคำบรรยายของภาควิชาวิศวกรรมสำรวจ ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2498 และค่ายสำรวจคณะวิศวฯ ที่เขาชนไก่ ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2500
• การถวายฏีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ถัด มาจะเป็นภาพเหตุการณ์สำคัญหนึ่งของชาววิศวฯจุฬาฯ นั่นคือ การถวายฏีกา หมอบกราบ เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2506 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่นิสิตกลุ่มหนึ่งถูกไล่ออก
นิสิตกลุ่มนี้จึงได้ไปถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทำให้ทางมหาวิทยาลัยได้รับ
นิสิตกลุ่มนี้กลับเข้าศึกษาต่อ ยังความซาบซึ้งให้กับนิสิตวิศวฯ จึงได้เกิดประเพณีหมอบกราบขึ้น
• ยุววิศวกรบพิธ วิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำ พระพุทธรูปที่เขาชีจรรย์
ถัด มาด้านขวาของพระบรมรูปจะเห็นอาคารหลังหนึ่งซึ่งก็คือ ตึก 3 ใกล้ๆ กันจะเป็นรูปสะพานแขวน เป็นสะพานที่สร้างขึ้นที่หมู่บ้านม่วงชุม ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จังหวัดเชียงใหม่ โดยนิสิตคณะวิศวฯ
ซึ่งจะเห็นภาพการออกค่ายอาสาของนิสิตก่อสร้างฝายพร้อมกับป้ายชื่อ “ค่ายวิศวฯ จุฬาฯ ” โดยพระราชดำริ ความสำคัญของสะพานนี้เป็นที่มาของการได้รับพระราชทาน “ยุววิศวกรบพิธ”
ส่วนด้านล่างจะเป็นภาพแสดงภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำ ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2534 ถัดมาด้านบนจะเห็นภาพพระพุทธรูปที่เขาชีจรรย์ จังหวัดชลบุรี เป็นพระพุทธรูปแกะสลักแบบนูนต่ำในลักษณะพระพุทธฉายที่ใหญ่ที่สุด
ในโลก เพื่อเป็นพระพุทธรูปประจำรัชกาลที่ 9
• พิธีรับน้องใหม่
ส่วน ด้านล่างของภาพเขาชีจรรย์ จะเป็นภาพแสดงให้เห็นถึงการใช้ชีวิตและกิจกรรมของนิสิต
จะเป็นภาพของการรับน้องซึ่งรุ่นพี่จะเหน็บ slide rule ไว้ที่กระเป๋ากางเกงด้านหลัง
ใกล้ๆ กันจะเป็นภาพพิธีอัดบันได ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ.2518 พร้อมกับภาพพิธีโปรยใบจามจุรี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในพิธีรับน้องใหม่ พร้อมกับภาพพิธีมอบเนคไท เกียร์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการบ่งบอกถึงความเป็นนิสิตวิศวฯจุฬาฯ
• ตึก อรุณ สรเทศน์ วิศวกรรมสุขาภิบาล
ถัดมาด้านบนจะเป็นรูปอาคารเจริญวิศวกรรมและ ตึกอรุณ สรเทศน์ เคยเป็นตึกของภาควิชาวิศวกรรมสุขาภิบาล ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2498 แต่ปัจจุบันได้ปรับปรุงเพื่อใช้เป็นที่ทำการสมาคมนิสิตเก่าวิศวฯจุฬาฯ
• ลานเกียร์ กิจกรรมนิสิต ภาควิชาต่าง ๆ
ส่วน สุดท้ายด้านบน จะเป็นภาพของลานเกียร์ ซึ่งเป็นสถานที่ทำกิจกรรมต่าง ๆ ของนิสิตวิศวฯจุฬาฯ
ส่วนตึกที่เห็นจะเป็นภาพอาคาร 100 ปี ที่กำลังก่อสร้างปัจจุบันด้านล่างจะเป็นภาพแทนแผนกวิศวกรรมโลหการ วิศวกรรมเคมี วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ วิศวกรรมนิวเคลียร์ รวมทั้งภาควิชาวิศวกรรมปิโตเลียม
ซึ่งจะแทนคำด้วยภาพการวิจัยต่าง ๆ รวมทั้งหุ่นยนต์กู้ภัย
• ความสำเร็จเพื่อประเทศชาติ
บท สรุป ในส่วนสุดท้ายด้านบนจะเป็นภาพความเจริญก้าวหน้าในอนาคต ซึ่งเป็นรูปของรถไฟฟ้า จานดาวเทียม ด้านล่างจะเป็นรูปของความสำเร็จ นั่นคือ การได้รับพระราชทานปริญญาบัตร พร้อมกับภาพแสดงความสำเร็จเมื่อจบออกไปเป็นวิศวกรด้วยภาพของกลุ่มบุคคล ซึ่งมีอาชีพทาง ด้านวิศวกรรม
- ปู่จิ๊บ อยากจะสรุป ความสำเร็จของวิศวกรจุฬาฯ ที่โดดเด่น มาจากเรื่องที่สำคัญอะไรบ้าง
การหล่อหลอม ความเป็นวิศวฯ ของชาวปราสาทแดง ที่มีลักษณะเฉพาะ
1. คือ ระบบอาวุโส SOTUS
SENIORITY ORDER TRADITION UNITY SPIRIT : อาวุโส ระเบียบ ประเพณี ความสามัคคี สปิริต
โดยหลัก จะเน้น ความเป็นผู้ให้ รุ่นพี่ จะเสียสละให้รุ่นน้อง และรุ่นน้องต้องเคารพรุ่นพี่
แน่นอนว่า บางครั้ง จะมีนิสิตรุ่นพี่ นำเอาระบบอาวุโส มาใช้อย่างไม่ถูกต้อง แต่ก้เป็นส่วนน้อย
และก็มีการปรับให้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป แต่โดยเนื้อหาและจิตวิญญาณยังอยู่
รูปธรรม ที่เห็นได้ คือ “ ความรักสามัคคีกันของชาวปราสาทแดง “ ที่ให้แก่คณะวิศวฯ จุฬาฯและบ้านเมือง
2. ความคิดแบบวิศวกรรม ENGINEERING THOUGHT
คิดตามสภาพที่เป็นจริง ผิดก็พัง ถูกก็อยู่ได้ยั่งยืน ต้องมีการรับผิดชอบและการชื่นชม ต่างจากคณะวิชาอื่นๆ
คิดอย่างเป็นกระบวนการ คือ 1. IN-PUT > 2. PROCESS > 3. OUT-PUT
คือ สิ่งที่ใส่เข้าไป ต้องผ่านกระบวนการต่างๆที่ดีและถูกต้องมีประสิทธิภาพ และได้ผลที่ดีมีประสิทธิผล
3. การทำงานเป็นทีม หรือ มีการร่วมมือกัน มิใช่ ONE MAN SHOW
เพราะ “ งานทุกอย่าง มิได้มีสิ่งเดียว หรือคนเดียวจะทำได้สำเร็จ เช่นสร้างบ้าน รถยนต์ ต้องอาศัยทีมงาน
จึงทำให้ จะต้องมี สปิริต มีความร่วมมือ มีระเบียบ ประเพณี และการเคารพผู้อาวุโส
ทั้งหมดนี้ คือ “ ความเป็นวิศวฯ “ ที่ทำให้ชาววิศวฯและปู่จิ๊บ มีวันนี้ที่สุข สงบ สำเร็จ