ดร.วิชัย พยัคฆโส [email protected] นับเป็นครั้งที่ 3 ที่ญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของฝ่ายค้าน ซึ่งหวังผลสัมฤทธิ์ว่าความศรัทธาของประชาชนเริ่มลดลงจากม็อบประชาชนที่หลั่งไหลมาขับไล่พลเอกประยุทธ์ ให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ความจริงฝ่ายค้านมุ่งหวังผลสำเร็จของการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจทุกครั้งก็เพื่อมุ่งหวังผลเพื่อล้มรัฐบาลหรือเกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น นายกรัฐมนตรียุบสภาหรือลาออก ปรับปรุงคณะรัฐมนตรีใหม่ ให้ประชาชนเห็นว่าฝ่ายค้านได้เปิดประเด็นความไม่ไว้วางใจเพิ่มขึ้น ทั้ง 2-3 เรื่องนี้ได้ผลเกือบทุกครั้ง จากการปรับปรุง ครม. ของรัฐบาล แต่ครั้งนี้ไม่ทราบว่าจะเกิดผลอะไรหรือไม่ เพราะเนื้อหาการอภิปรายเป็นเรื่องเดิมๆมาขยายต่อ เช่น การบริหารจัดการเรื่องโควิด การทุจริตคอร์รัปชันในบางเรื่องก็ตาม แต่ไม่มีใบเสร็จมาแถลง เพียงแต่เป็นข้อสันนิษฐานว่าอาจจะมีทุจริตคอร์รัปชันเกิดขึ้น จึงส่งผลให้รัฐบาลสามารถผ่านพ้นการอภิปรายไปได้แบบนายกรัฐมนตรีได้คะแนนความไม่ไว้วางใจต่ำสุดเป็นอันดับ 5 และต่ำกว่ารัฐมนตรีของตนเอง และของพรรคร่วมรัฐบาล 1.นายเฉลิมชัย ได้รับความไว้วางใจ 270 คะแนน 2.นายอนุทิน “ 269 คะแนน 3.นายศักดิ์สยาม “ 269 คะแนน 4.นายชัยวุฒิ “ 267 คะแนน 5.พลเอกประยุทธ “ 264 คะแนน 6.นายสุชาติ “ 263 คะแนน ซึ่งทุกคนได้รับความไว้วางใจมากกว่ากึ่งหนึ่งคือ 241 คะแนน ของสมาชิกสมาชิกรัฐสภา ซึ่งฝ่ายรัฐบาลยังคงเกาะเกี่ยวกันเหนียวแน่นเช่นเดิม แม้ว่าจะมีข้อสงสัยบางประการซึ่งยังไม่ได้รับคำตอบก็ตาม จึงทำให้ฝ่ายค้านผิดหวังเป็นครั้งที่ 3 นอกจากฝ่ายค้าน 3 คน จากพรรคก้าวไกล ยังถูกฟ้องร้องในเรื่องเกี่ยวกับ IO ของทหาร พรรคเพื่อไทยเอาข้อมูลไม่จริงมาเปิดเผยและการรับเงินคนละ 5 ล้านบาทที่รัฐสภา เป็นของแถมอีกด้วย ยังคงสร้างความคับแค้นให้กับฝ่ายค้านเพิ่มขึ้น แม้ว่าถ้อยคำของญัตติจะรุนแรงเข้าถึงใจประชาชน รวมทั้งข่าวร้อนๆเรื่องการกบฏภายในพรรคพลังประชารัฐ ทำให้การลงคะแนนเป็นไปตามความประสงค์โดยนายกรัฐมนตรีได้รับความไว้วางใจรองบ๊วยและคะแนนไม่ไว้วางใจสูงสุด ซึ่งโดยทั่วไปผู้นำย่อมได้เสียงมากหรือมากสุดอยู่แล้ว เป็นการลดความไม่ไว้วางใจแทนประชาชนได้ระดับหนึ่ง คงต้องรอดูว่าจะมีการผลักดันให้ม็อบนอกสภามีความเข้มข้นขึ้นเพียงใด เพราะการพ่ายแพ้ในสภามาแล้วถึง 3 ครั้ง จะมีพรรคเพื่อไทยบางส่วนออกไปเดินขบวนขับไล่กับอีกฝ่ายหรือไม่ และรอให้ฝ่ายรัฐบาลล้างแค้นกันเอง และต้องคอยดูผลจากการอภิปรายว่าจะมีการปรับ ครม.อีกหรือไม่ เพราะช่วงนี้ใกล้จะหมดวาระของรัฐบาลแล้ว คงเหลืออีกสักครั้งที่จะเปิดอภิปรายอีกครั้ง หรือว่ารัฐบาลจะยุบสภาหนีเสียก่อนก็เป็นได้ทั้งนั้น หวังว่าการอภิปรายจะไม่เป็นเพียงแค่พิธีกรรมของรัฐสภาของฝ่ายค้านให้หมดไปในวาระ ที่ยังคลางแคลงใจของประชาชนกันอยู่ว่ามีการซูเอี๋ยกันหรือไม่ คงต้องรอการพิสูจน์ต่อไป