เสรี พงศ์พิศ FB Seri Phongphit เรื่องใหญ่วันนี้ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ทราบ เพราะ “สวนกระแส” การแพทย์แผนปัจจุบันที่สร้างมาตรฐาน “การรักษา” และคำว่า “หาย” ไว้ครอบงำคนทั่วโลก อะไรที่แตกต่างไปจากนี้จะถูกปฏิเสธ ถูกต่อต้าน ด้านหนึ่งเพราะเรื่องสุขภาพ เรื่องการรักษาโรคเป็นผลประโยชน์มหาศาลในวงการแพทย์ มีอยู่สามโรค คือ เบาหวาน มะเร็ง และความแก่ชรา ซึ่งถ้าหากคิดแบบเดิม ทฤษฎีเดิม สมมติฐานเดิม (หรือกระบวนทัศน์เก่า) ก็รักษาไม่หาย หรือ “หายน้อย” และอัตราการเติบโตคนป่วยคนตายจากโรคเหล่านี้ก็เพิ่มขึ้นทุกปีทุกประเทศทั่วโลก (ไอน์สไตน์เตือนว่า ถ้าไม่เปลี่ยนความคิดถึงราก หายนะแน่) มีนักวิทยาศาสตร์และแพทย์จำนวนหนึ่งที่เริ่มหันมาสนใจ “กระบวนทัศน์ใหม่” ในสามโรคนี้อย่างจริงจัง และพบว่า เรื่องที่หนึ่ง ถ้าเข้าใจอินซูลิน หรือการต่อต้านอินซูลินใหม่ ก็จะเข้าใจเบาหวาน โรคอ้วน และโรคอื่นๆ ที่ตามมา และสามารถแก้ให้กลับไปสู่ภาวะปกติที่ไม่มีเบาหวานได้ ป้องกันโรคร้ายอื่นๆ ได้ด้วย คุณหมอเจสัน เฝิง (Jason Fung) ชาวแคนาดาเชื้อสายจีน เป็นหนึ่งในผู้นำแนวคิดนี้ ที่เขียนไว้ในหนังสือหลายเล่ม และที่ฟังเขาพูดได้มากมายในยูทูบ (The Diabetes Code และ The Obesity Code เล่มหลังนี้มีแปลเป็นไทยว่า “ถอดรหัสศาสตร์แห่งการลดน้ำหนัก ไขความลับสู่สุขภาพดีอย่างยั่งยืน” ล่าสุด คือ The Cancer Code) คุณหมอเจสันเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคไต เขาพบว่า โรคไตส่วนใหญ่มาจากเบาหวาน แก้เบาหวานไม่ได้ก็แก้ปัญหาไตไม่ได้ ปัญหาไม่ใช่ไขมัน แต่เป็นน้ำตาล ทั้งกลูโคส (จากอาหารพวกแป้ง) และฟรุกโตส (จากน้ำตาลในรูปแบบต่างๆ ) ลดสองอย่างนี้ได้ ก็จะแก้อาการต้านอินซูลิน อันป็นสาเหตุของเบาหวานได้ คุณหมอเฝิง เช่นเดียวกับหลายคนที่ให้ข้อมูลมากมายฟังได้ในยูทูบ อย่าง Dr. Eric Berg, Dr. Sten Ekberg ซึ่งโยงเรื่องนี้ไปถึงการป้องกันทั้งเบาหวานและมะเร็ง โดยวิธีการหลัก 2 วิธี คือ การกินอาหารคีโต (Keto) คือเน้นไขมันเป็นหลัก (ไขมัน 70-80% โปรตีน 10-20% คาร์โบไฮเดรต 5-10%) รายละเอียดมีอะไร คนที่สนใจหาข้อมูลในเน็ตได้ไม่ยาก ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ อีกวิธีหนึ่งที่ถ้าทำควบคู่กันไปจะได้ผลในการแก้ไขการต้านอินซูลินได้ แก้เบาหวาน ต้านมะเร็งได้ดี คือ การทำการอด (IF intermittent fasting) ไม่ว่าจะทานวันละ 2 มื้อ หรือ 1 มื้อ ร่างกายก็จะไปเอาไขมันที่สะสมไว้มาเป็นพลังงาน และจะเกิด Autophagy หรือการกินตัวเองของเซลล์ การรีไซเกิลเซลล์ที่เสียหรือ “ขยะ” ในร่างกาย เพื่อนำส่วนดีมาใช้ ขับส่วนเสียออกไป เรื่องที่สอง มะเร็ง สิ่งที่แพทย์ศาสตร์สอนกันมา คือเป็นโรคทางพันธุกรรม (genetic disease) และหาทางฆ่าเซลล์มะเร็ง จนแล้วจนรอด ผู้ป่วยมะเร็งก็เพิ่มขึ้น คนตายด้วยมะเร็งก็เพิ่มขั้น ค่ารักษาก็แพงขึ้น ขณะที่แนวคิดของ ศาสตราจารย์ Thomas Seyfried มองว่า มะเร็งเป็นโรคทางการเผาผลาญพลังงาน (metabolic disease) ขณะที่เซลล์ดีใช้อ๊อกซิเจน (หายใจ) เซลล์มะเร็งใช้กลูโกสและกลูตามีนเป็นอาหารให้อยู่ได้และขยายตัว หนังสือเล่มล่าสุดของเขา Cancer as a Metabolic Disease: On the Origin, Management, and Prevention of Cancer ให้รายละเอียดว่า เซลล์มะเร็งคงอยู่และขยายตัวด้วยกระบวนการหมัก (fermentation) หรือการย่อยสลายอินทรีย์แบบดึกดำบรรพ์ ก่อนที่สิ่งมีชีวิตจะได้พลังงานจากอ๊อกซิเจน (การหายใจ) เมื่อหลายพันล้านปีก่อน ความจริงไม่ใช่เรื่องใหม่ทีเดียว มีคนเสนอแนวคิดนี้เมื่อ 100 ปีก่อน (1920) แต่ตอนนั้นยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการมาสนับสนุนมากอย่างทุกวันนี้ ที่มีบทความวิชาการนับพัน และการทดลองมากมายเพื่อยืนยันเรื่องนี้และว่า น้ำตาลและกลูตามีน เป็นอาหารเลี้ยงมะเร็งที่สำคัญที่สุด ถ้าจัดการสองอย่างนี้ มะเร็งก็อยู่ไม่ได้ ที่สำคัญ การแปรเปลี่ยนพันธุกรรม ไม่ได้เป็นสาเหตุของมะเร็ง แต่เป็นผลที่ตามมาจากการที่ไมโทคอนเดรีย ซึ่งเป็นที่ผลิตพลังงาน ได้รับความเสียหาย อันเป็นที่มาของเซลล์มะเร็ง เซลล์มะรังบางชนิดชอบกลูโคส บ้างขนิดชอบกลูตามีนมากกว่า ศาสตราจารย์เซฟรีด วิจารณ์การรักษาด้วยการฉายแสง และคีโมว่าทำให้เกิดผลเสียมากมายต่อสุขภาพ เขาบอกว่า การจัดการลด “กลูโคสและกลูตามีน” โดยการกินแบบคีโต และการทำการอด (IF) ก็ทำให้คนป่วยมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพได้โดยไม่ได้รับผลกระทบจากรังสีและสารเคมีของการรักษากระแสหลัก เขาไม่อยากใช้คำว่า “หาย” เพราะคำนี้ถูก “ผูกขาด” โดยวิธีการรักษาทางหลักต่างๆ รวมทั้งการเรียกร้องให้มีการทดลองทางคลินิก (clinical trial) กับคน เขาบอกว่า ก็มีการทำมาตลอด เพียงแต่ไม่ใช่ตาม “มาตรฐานการวิจัยการแพทย์กระแสหลัก” แต่ก็ได้ผลว่า ผู้ป่วยอาการดีขึ้น มีชีวิตที่ดี ไม่เจ็บป่วยทรมานด้วยมะเร็งอีก (เมืองไทยก็พบปัญหาเดียวกัน เมื่อแพทย์ไม่ยอมรับว่า ฟ้าทลายโจร “รักษาโควิด” ได้ตามมาตรฐานการแพทย์กระแสหลัก) เรื่องที่สาม คือ โรคชราภาพ ที่เคยเขียนถึง ดร.เดวิด ซินแคลร์มาแล้ว (Life Span : why we age – and why we don’t have to) เขาพบว่า ความชราเป็นโรคที่สามารถ “รักษา” ได้ ทำให้ยีนได้รับการฟื้นฟูให้กลับไปเป็นหนุ่มเป็นสาวได้ เขาพูดถึงโรคชรา สาเหตุของโรคร้ายอย่างอัลไซเมอร์ เบาหวาน มะเร็ง และอื่นๆ เพราะความเสื่อมสภาพของไมโทคอนเดรีย ที่เป็นโรงงานผลิตอาหารหรือสร้างพลังงาน เพื่อนำไปซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอและสร้างเซลล์ใหม่ที่ตายไป ผลิตเอนไซม์ เขียนวันนี้ทั้งสามเรื่อง เพียงสั้นๆ เพื่อเสนอให้บ้านเราสนใจติดตามศึกษาเรื่องเหล่านี้อย่างจริงจัง ซึ่งคงไม่ง่าย เพราะแนวทางทั้งสามมาจากการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ ซึ่งในประวัติศาสตร์ ทุกครั้งที่เปลี่ยนจะมีการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ อย่างกรณีกาลิเลโอ ทางดาราศาสตร์ ไอน์สไตน์ทางฟิสิกส์ วันนี้มาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญทางชีววิทยา แต่คนคิดต่างจากกระแสหลักอาจประสบชะตากรรมเดียวกับกาลิเลโอ เหมือนหลายกรณีที่เกิดขึ้นในเมืองไทย เพราะการแพทย์ การรักษาในระบบทุนนิยม เป็นเรื่องผลประโยชน์ ที่อำนาจทุนผนึกกำลังกับอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจครอบงำสังคมอย่างเหนียวแน่น ถ้าสังคมไทยไม่เป็นสังคมความรู้ คงยากที่จะปลดปล่อยตัวเอง เพื่อพัฒนาทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ดี ที่ต้องมาจากเจตจำนงทางการเมือง และพลังของประชาสังคมที่เข้มแข็ง