ทวี สุรฤทธิกุล สำนวน “จะไปได้สักกี่น้ำ” ใช้ในความหมายที่ประเมินการกระทำของบุคคลว่า “จะไปไม่รอด” มาจากการเล่นชนไก่ ที่วัดจำนวนการส่งไก่เข้าตีกันแต่ละรอบด้วยกะลาที่มีรูที่ก้นแล้วเอามาลอยน้ำ เมื่อน้ำไหลเข้าเต็มกะลา กะลาก็จะจมลง เรียกว่า “1 น้ำ” แต่ที่สุดก็จะต้องมีตัวที่แพ้ อยู่ที่ว่าจะแพ้ที่ “น้ำเท่าไหร่” คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ยึดอำนาจมาตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ถ้าจะนับถึงวันนี้ก็เข้าสู่ปีที่ 3 ในการครองอำนาจดังกล่าว และถ้าหากการอยู่ในอำนาจนี้เป็นไปตามโรดแม็ป ที่หวังว่าจะมีการเลือกตั้งในปลายปีหน้า หรืออย่างช้าในต้นปี 2561 นั้นก็จะเป็นปีที่ 4 ของคณะ คสช. นับว่าค่อนข้างยาวนานสำหรับระบอบเผด็จการที่ฝังตัวอยู่ในกระแสความเป็นประชาธิปไตยในสังคมปัจจุบัน เหตุผลสำคัญคือ “การยอมรับทหาร” ของคนไทยจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนไทยในฟากที่มีอิทธิพลต่อแนวคิดการครอบงำทางการเมืองโดยทหาร พูดง่ายๆ ว่าคนไทยส่วนนี้ “รักทหาร” นั่นเอง โดยเป็นความรักที่ต้องการให้ทหารเข้ามาแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง ที่มีการบ่มเพาะมาตั้งแต่การยึดอำนาจโดยทหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 นั่นแล้ว ซึ่งครั้งนั้นทหารไม่สามารถแก้ปัญหาของประเทศอะไรได้มากนัก อย่างที่เรียกว่า “ปัสสาวะไม่สุด” เมื่อปัญหาของประเทศยังซ้ำซากดังเดิม จึงมีกระแสเรียกร้องให้ทหารเข้ามาอีกครั้ง คนไทยในส่วนนี้มีอิทธิพลต่อแนวคิดการแยก “คนดี” ออกจาก “คนชั่ว” จากกรณีของคนที่ทำนโยบาย “ประชานิยมชั่วๆ” แล้วมีการโกงกินกันมโหฬาร ที่รวมเรียกว่า “ทุนนิยมสามานย์” ด้วยเหตุนี้จึงมีการสร้างเครื่องมือและคิดหาวิธีที่จะมาจัดการกับ “ความชั่ว-คนชั่ว” เหล่านั้น สิ่งหนึ่งก็คือกฎหมายต่างๆ ตั้งแต่รัฐธรรมนูญลงไปจนถึงกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติต่างๆ ดังที่เราเห็นมาในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ที่มีบางคนเรียกว่า “ฉบับไล่ล่าทักษิณ” หรือฉบับ 2559 ที่บางคนเรียกว่า “ฉบับยาแรง” “ยาแรง” คือมาตรการที่จะ “จัดการ” กับนักการเมืองชั่วๆ และพฤติกรรมชั่วๆ ของคนเหล่านี้ให้ “สิ้นซาก” ซึ่งตลอดเวลานับตั้งแต่ที่เริ่มร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็มี “กระแสกดดัน” ให้ “คณะหมอ” หรือคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) สร้างกลไกและกระบวนการที่จะจัดการกับความชั่วและคนชั่วเหล่านั้นให้ได้ ที่สุดก็ถึงขั้นที่จะให้มีการ Set Zero หรือถ้าจะเรียกเป็นคำไทยก็คือ “การล้างบาง” สิ่งต่างๆ เหล่านั้นนั่นเอง ผู้เขียนก็อยู่ในจำพวกคนไทยที่ “รักทหาร” ด้วยคนหนึ่ง แต่อาจจะเป็น “รักอย่างเลือกสรร” คือเลือกที่จะรักในบางเรื่อง และขอที่จะไม่รักในบางเรื่องด้วยเช่นกัน เรื่องที่จะบอกว่ารักทหารก็คือ “ท่าทีอันแข็งขัน” ในความพยายามที่จะจัดการกับความชั่วคนชั่วทั้งหลาย ที่ต้องใช้คำว่า “ท่าที” ก็เพราะขณะนี้คนจำนวนมากที่รักทหารเริ่มจะไม่แน่ใจแล้วว่า ทหารจะทำอะไรตามที่พูดไว้นั้นสำเร็จหรือไม่ (อย่าลืมว่าเพลง “เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน...” นั้นดังอยู่เต็มหูคนไทยตลอดวัน) จนบางคนเริ่มคิดแล้วว่าจะเป็นไปในลักษณะ “ท่าดีทีเหลว” หรือไม่ คนไทยส่วนนี้เชื่อว่าด้วยความเข้มแข็งเด็ดขาดของทหาร น่าจะทำให้การแก้ไขปัญหาต่างๆ เป็นไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งหลายๆ ปัญหาก็พอแก้ไขได้ แต่พอดูวิธีการทำงานของทหารนานๆ ไปก็เริ่มไม่แน่ใจว่าจะ “เอาจริง” ในเรื่องนั้นเพียงไร หรือว่าทหารอาจจะไป “เจอตอ” คืออุปสรรคอะไรบางอย่างเข้า จึงดู “ชะงัก-ชลอ” โดยเฉพาะการปฏิรูปประเทศ ตั้งแต่ที่ไปยุบสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ซึ่งรวม “หัวกระทิ” จากคนไทยทุกวงสังคมที่สร้างผลงานในแนวคิดและข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปไว้เป็นอย่างดีแล้ว แต่ดูเหมือนทหารก็เห็นเรื่องเหล่านี้เป็นแค่ “พิธีกรรม” ไม่ได้เอาไปใช้ประโยชน์อะไร แถมยังมาตั้งสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ทำงานแบบเดิมและด้วยแนวคิดแบบเดิมๆ นั้นเข้าไปอีก และ “อีหรอบเดียวกัน” ก็คือ “แค่เป็นพิธีกรรม” เท่านั้น ที่น่าเป็นห่วงก็คือการที่ได้เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่าจะให้มีการวางยุทธศาสตร์ชาติในระยะยาว โดยมีคณะกรรมการที่จะมาขับเคลื่อนซึ่งตอนนี้ก็มีคนเดาๆ แล้วว่าส่วนหนึ่งก็จะมาจากทหารนั่นแหละ และน่าจะเป็นทหารระดับ “หางกระทิ” ที่พลาดหวังจากตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาที่ คสช.จะแต่งตั้งนั่นเอง หรือถ้าจะเอาสมาชิก สปช. และ สปท.บางคนเข้ามา ก็คงจะเป็นได้แค่ “พวกหางแถว” ที่อกหักจากสภาใหญ่นั้นแล้วเช่นกัน ดังนั้นเราจึงมองไม่เห็นอนาคตอะไรของการปฏิรูปภายใต้ “สภาต่างตอบแทน” ที่กลายเป็นแค่ “ศาลาพักใจ” ที่เป็นรางวัลหรือของขวัญปลอบใจให้แก่พวกพ้อง และการแลกเปลี่ยนกับ “นักวิ่งเต้น” ทั้งหลาย โดยทั่วไป คนทั้งหลายมองทหารมาโดยตลอดว่ามีความเข้มแข็งเด็ดขาดน่านับถือ ทหารมียาแรงคือความเข้มแข็งเด็ดขาดนั้นอยู่ในมือเสมอมา และทหารก็คือ “หมอผ่าตัด” ที่ควรจะลงมือรักษา “ผ่าตัดรักษาสังคมไทย” อย่างเข้มแข็งเด็ดขาดด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ “หมอป้ายปาก” ที่เอายาเขียวกวาดลิ้นเด็กๆ แบบโบราณที่แก้ได้แค่ไข้ปวดหัวตัวร้อน ที่สุดเมื่อทหารปล่อยให้มีการเลือกตั้ง สังคมไทยก็จะยังคงเป็นไปในแบบเดิมๆ และทหารก็จะไปเป็นทหารแบบเดิมๆ ที่คราวนี้อาจจะร้ายแรงถึงขั้น “ท้องผูก” คือทำอะไรไม่ได้อีกต่อไป เหมือนหลายๆ ครั้งที่คนไทยเคยเบื่อและไม่เชื่อมือทหาร