เสรี พงศ์พิศ FB Seri Phongphit สงครามข้อมูลข่าวสารร้ายกว่านิวเคลียร์ เพราะล้างสมอง ทำลายสมอง โดยเจ้าของไม่รู้สึก นี่คือสภาพที่เกิดจาก “อำนาจนำ” (hegemony) ที่ครอบงำโลกไม่ว่าฝ่ายไหน อันโตนิโอ กรัมชี วิพากษ์แนวคิดดั้งเดิมของมาร์กซ์ที่มองการครอบงำของผู้มีอำนาจด้วยอาวุธ กฎหมาย ความรุนแรง เขาบอกว่า ที่ร้ายแรงกว่านั้น คือ การใช้ข้อมูล ข่าวสารครอบงำทางวัฒนธรรม สร้างค่านิยม ความเชื่อ ทำให้คนคล้อยตาม เห็นด้วยอย่างแยบยลจนคนไม่รู้ว่าตนเอง “ถูกหลอก” เพราะแยกไม่ออกระหว่างจริงกับเท็จ ข่าวจริงกับข่าวปลอม ทฤษฎีสมคบคิดกับความจริง ผู้คนวันนี้เหมือนกบในหม้อ เขาต้มน้ำไว้ก็ไม่รู้ตัว เพราะมันไม่ได้ร้อนทันที แต่ค่อยๆ ร้อน กว่าจะรู้ตัวก็ออกจากหม้อไม่ได้แล้ว หรือไม่ก็เหมือนไก่ในเข่งที่จิกตีกัน โดยไม่รู้ว่าเขากำลังจะเอาไปเชือด กองเชียร์มุมแดง มุมน้ำเงิน รัสเซีย-ยูเครน ควรตระหนัก เมื่อก่อนมีหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ เป็นเครื่องมือสื่อสาร ครอบครองได้ก็ครอบงำได้ วันนี้หนักกว่าอีก เพราะมีโซเชียลมีเดีย ที่ “อำนาจนำ” ใช้เพื่อเข้าถึงทุกคนแบบ “ส่วนตัว” ได้ทุกเวลานาที 24 ชั่วโมง จึงมียุทธการข้อมูลข่าวสาร (IO) ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย (อัลกอริทึ่มและอื่นๆ) ที่ถูกใช้ทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง เราจึงถูกครอบคลุมด้วยคุณค่า “บ้าบริโภค” และ “เดินตามอำนาจนำ” แบบไม่ลืมหูลืมตา ถูกใช้เหมือนหนังใหญ่ให้เชียร์อเมริกา รัสเซีย จีน รวมทั้งฝ่ายรัฐ ฝ่ายค้านในบ้านเรา เหมือนคนตกอยู่ในภวังค์ ที่สมองไม่สั่งการอะไร ปฏิเสธข้อมูลฝ่ายตรงข้าม ข้อมูลของฝ่ายตัวเองเชียร์มาเป็นเชื่อหมด แชร์หมด อำนาจนำรู้ว่า ใครคนใดได้อะไรมาแล้วชอบแชร์ เขาก็จะส่งข้อมูลไปให้คนนั้นมากที่สุด ข่าวก็ออกไปโดยไม่มีการกลั่นกรอง และไปได้ไกลเป็นร้อยเท่าทวีคูณ ใครที่มีคนติดตามมากจะได้รับข้อมูลข่าวสารมาก แยกไม่ออก ก็กลายเป็นเครื่องมือเผยแพร่ข้อมูลที่เขาต้องการ การโฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองมีมานานแล้ว ระหว่างสงครามเวียดนาม ผู้สูงวัยไทยส่วนใหญ่คงจำหนังของยูซิส ที่รถเร่ขายยาฉายก่อน “หนังเรื่อง” จงใจล้างสมองผู้คนให้เกลียดกลัวคอมมิวนิสต์ ซึ่งก็ได้ผล ทำให้คนมองคอมมิวนิสต์เป็นภูตผีปีศาจ ตกใจเมื่อผู้นำไทยไปเชื่อมสัมพันธ์กับจีนเมื่อ 40 กว่าปีก่อน แปลกใจเมื่อจีนเปิดประเทศ ไปมาหาสู่ “เพิ่งรู้ว่าเป็นคนเหมือนพวกเรา” ประเทศมหาอำนาจต่างก็มีกลไกต่างๆ เพื่อเผยแพร่ “วัฒนธรรม” ของตน เมื่อก่อนก็สถาบันวัฒนธรรม ต่อมาก็หน่วยงานพัฒนา ทั้งรัฐเอกชน ต่างก็แอบแฝงด้วยการสร้างค่านิยมและการเจาะลึกสืบค้นข้อมูลในแต่ละท้องถิ่นประเทศแบบที่เจ้าของที่ไม่รู้ว่าเขาหาข้อมูล และเผยแพร่ข่าวสารเพื่อเปลี่ยนทัศนคติ แต่ที่โด่งดัง โจ่งแจ้ง และได้ผลมากที่สุด ที่เป็นเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์การเมือง ยกตัวอย่างของอเมริกา คือ หนังฮอลลีวู้ด บุหรี่ ฟาสต์ฟู้ด น้ำอัดลม ขนมต่างๆ หยูกยารักษาโรค ปัจจัยสี่มาจนถึงไมโครซอฟต์ ไอโฟน กูเกิ้ล อเมซอน เฟซบุ๊ก บรรดาเทคโนโลยี ที่ทำให้คน “เสพติด” มหาอำนาจอื่นก็มีไม่แพ้กัน ประเทศเหล่านี้สู้กันด้วยข้อมูลข่าวสาร เทคโนโลยีการสื่อสาร มีนโยบายและกลไกทั้งเชิงรุกและเชิงรับ ทั้งตัดเครื่องมือของอีกฝ่ายหนึ่งที่ใช้เพื่อการครอบงำประชาชนของตนเอง ดังกรณีจีนกับอเมริกา และรัสเซียกับประเทศตะวันตกวันนี้ การรู้เท่าทันสถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ว่าเรากำลังอยู่ในโลกที่บรรดา “อำนาจนำ” (hegemony) แข่งขันกัน เพื่อช่วงชิงการครอบงำโลก ครอบงำพวกเรา ที่ตกเป็นเหยื่อ เป็นตัวประกัน เป็นกันชน ซึ่งเมื่อช้างสารชนกันหญ้าแพรกก็แหลกลาญ อย่างที่กำลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลกวันนี้ แม้ในประเทศที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสงครามรัสเซีย-ยูเครน (อย่างไทยเรา) คนจำนวนมากหลงกลไปเชียร์ฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ อ้างว่าฝ่ายตนถูก อีกฝ่ายมี “ตรรกะป่วย” โดยที่ไม่รู้ว่าของตัวเองก็อาจจะ “ป่วย” พอกัน อาจถูกล้างสมองมานานจนไม่รู้ตัว แต่ละฝ่ายคงไม่ยอมรับว่าถูกครอบงำ การวางตัว “เป็นกลาง” วันนี้คงยาก เพราะที่สุดไม่ว่าจะออกเสียงสนับสนุน ค้าน หรืองด ต่อมติของยูเอ็นก็มองออกว่าอยู่ฝ่ายใด “เป็นกลาง” แบบประชาชนคนธรรมดาอย่างเราๆ จึงหมายถึงการมีสติ มีโยนิโสมนสิการ มีอุเบกขา ซึ่งไม่ได้แปลว่า เฉยเมย ไม่ไยดี แต่หมายถึงการรู้จักปล่อยวางด้วยสติและปัญญา จะได้ไม่ทุกข์เกินไป โลกอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน มหาอำนาจมาแล้วก็ไป ตามวิภาษวิธีแห่งประวัติศาสตร์ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ตั้งแต่จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายในอดีตมาจนถึงมหาอำนาจล่าอาณานิคม ขยายอาณาเขตไปแบบตะวันไม่เคยตกดิน มาจนถึงวันนี้ ที่เทคโนโลยีเชื่อมโลกทั้งใบเข้าด้วยกัน ภูมิรัฐศาสตร์โลกเปลี่ยนไป อำนาจนำน่ากลัวกว่าเดิม แต่ก็จะไม่เหมือนเดิม เพราะอำนาจนำในโลกใหม่ไม่ได้มีแต่รัสเซีย จีน ที่กำลังผงาดขึ้นมาแทนที่อำนาจนำเดิมอย่างอเมริกา และอียู แต่มีอินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี ประเทศตะวันออกกลาง เอเชียอาคเนย์ รวมไปถึงอเมริกาใต้ แอฟริกา ที่ได้พัฒนา “ตน” จนมีศักยภาพที่จะ “ต่อกร” กับบรรดา “มหาอำนาจนำ” ดั้งเดิมได้ในไม่ช้า ถ้าเมืองไทยจะเป็นประเทศ “อิสระ” พอสมควรในสถานการณ์ที่อำนาจนำกำลังสู้กัน เราต้องพัฒนาศักยภาพที่มีอยู่ให้มากพอเพื่อจะ “พึ่งตนเอง” ให้ได้มากที่สุดไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปเช่นไร คือ พัฒนาการศึกษา ให้คนมีสติปัญญา รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี พัฒนาการเกษตรที่มีศักภาพเป็นครัวของโลก พัฒนาบนฐานวัฒนธรรมที่แข็งแกร่ง ที่บรรพบุรุษได้ถ่ายทอดมา แต่เราได้มองข้ามหรือลืมไป เพราะหลงใหลวัฒนธรรมของบรรดาอำนาจนำจนดูถูกตัวเอง